
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรืออาเซียน ซัมมิต ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นเจ้าภาพจัดประชุม ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ย.นี้ ซึ่งประเด็นที่ไทยกังวล คือ จะมีการนำประเด็นความไม่สงบ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าหารือด้วย แต่ประเด็นดังกล่าว เลิกกังวลไปได้ เพราะเวทีอาเซียน ประเด็นหลัก คือ การเจรจา ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยยึดหลักไม่นำการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาเจรจาในเวทีดังกล่าว เพราะเกรงว่า จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ ต่อการเจรจาการค้านั่นเอง
ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จะมีการลงนามในสัญญาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับจีน ซึ่งจะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากรวมแล้วจะมีประชากรประมาณ 1.8 พันล้านคน นอกจากนี้ หารือระหว่างผู้นำอาเซียนบวกสาม คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเด็นเร่งรัดเขตการค้าเสรีเอเซียตะวันออก นั่นหมายความว่า ขณะนี้ประเทศในเอเชียเริ่มผนึกกันกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ซึ่งหากมีการเปิดเขตการค้าเสรีจริง ประเทศในเอเชียย่อมมีความได้เปรียบในเวทีต่อรองการค้าโลก
ทั้งนี้ คาดกันในหมู่นักธุรกิจและบรรดานักวางแผนระดับโลก ว่า ในศตวรรษใหม่นี้เขตเอเชียจะกลายเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก และยิ่งรวมสหรัฐกับประเทศละตินอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งเรียกกันว่าเขตเอเชีย-แปซิฟิก จะเห็นว่า มูลค่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้รวมกันคิดเป็น 60% ของขนาดเศรษฐกิจโลก ดังนั้นบทบาทของประเทศในเอเชียในศตวรรษใหม่จึงมีค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้การประชุมครั้งนี้เริ่มมีความหมายระดับโลกขึ้นมา เนื่องจากจะเป็นการรวมตัวกันเองของประเทศในเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ประเทศในเอเชียมีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างมาก รวมทั้งระบบการเมืองในแต่ละประเทศ ซึ่งการเจรจาการค้าส่วนใหญ่จะตัดประเด็นปัญหาทางการเมืองของแต่ละประเทศขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในการเจรจา เพราะเรื่องภายในประเทศนั้น เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดความล้มเหลวมาแล้วในการเจรจาการค้า ดังนั้น ความหวังของผู้ที่ต้องการจะให้ปัญหาภาคใต้ ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในเวทีนี้ก็เป็นอันเลิกหวังได้ เพราะนั่นเท่ากับเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการเวทีการค้าระหว่างประเทศได้
ลักษณะของเวทีการเจรจาระหว่างประเทศด้านการค้าอย่างหนึ่ง ก็คือ ทุกประเทศต้องการแสวงหาประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ดังนั้น จึงมีเวทีการเจรจาต่อรองผลประโยชน์กัน แต่ส่วนใหญ่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่แล้วจะมีความได้เปรียบในการเจรจาเสมอ ในขณะที่ประเทศที่มีความเสียเปรียบก็จะเสียเปรียบอยู่เรื่อยไป ดังนั้น หากต้องการให้การรวมกลุ่มมีอย่างยั่งยืนถาวร ทุกประเทศต้องยึดหลักการอยู่ร่วมกัน และทุกประเทศต้องได้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางการค้าครั้งนี้ หาไม่แล้วการเจรจาการค้าจะมีปัญหาในอนาคตได้
เราเห็นว่า ในโลกยุคปัจจุบัน หลังเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน ทำให้เรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องก่อการร้าย ซึ่งการรับมือกับการก่อการร้ายไม่สามารถกระทำได้เพียงประเทศเดียว ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ น่าจะมีการหยิบยกประเด็นการก่อการร้ายมาหารือ แม่ว่าจะเป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพราะอย่าลืมว่าหากมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเดียวก็อาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต เพราะคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ได้ประโยชน์
สิ่งนี้เองทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการพัฒนา ซึ่งก็เท่ากับว่า การเปิดเสรีทางการค้าได้บีบให้คนจำนวนหนึ่งออกไปอยู่นอกวง และนั่นก็เป็นเงื่อนไขก่อการร้ายนั่นเอง โดยกลุ่มก่อการร้ายอาจไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มในปัจจุบันนี้เหมือนดังที่เคยเข้าใจกัน แต่เป็นคนกลุ่มเดียวกัน และนักถือศาสนาเดียวกัน ที่ถูกกีดกันออกไปจากประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ ดังนั้น หากการรวมกลุ่มการค้าครั้งนี้จะประสบความสำเร็จอย่างงดงามและเป็นพลังต่อรองได้อย่างแท้จริง ต้องคำนึงถึงประชาชนของแต่ละประเทศด้วย ไม่ใช่ระดับผู้นำเท่านั้น
27 พฤศจิกายน 2547