ชี้นิคมอุตสาหกรรม48แข่งเดือด

นายทวิช เตชะนาวากุล เลขาธิการสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยถึงแนวโน้ม การขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมปี 2548 ว่า จะแข่งขันรุนแรงทั้งเรื่องราคาและ การให้บริการแบบครบวงจรใหม่ๆ เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือชักชวนการลงทุน เนื่องจากยังมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศที่ยังรอการใช้ อยู่ประมาณ 30,000 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้ประกอบการนิคมเอกชนรายใหม่ๆ และการขยายพื้นที่ของเอกชนรายเก่าตั้งแต่ช่วงปี 2546-47 ในขณะที่เมื่อเทียบกับความต้องการใช้พื้นที่ลงทุนในปีนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5-10% จากปี 2547 ที่มียอดขายพื้นที่ประมาณ 3,000-4,000 ไร่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตถึง 20%

นอกจากนี้ จากปัจจัยแนวโน้มการลงทุนจากประเทศที่คาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยในปี 2548 นี้คาดจะส่งผลให้ความต้องการใช้พื้นที่เพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมลดลงตามไปด้วย ดังนั้น หากเป็นผู้ประกอบการนิคมฯที่ทำมานานและมีฐานลูกค้าของตัวเองอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการนิคมฯรายใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามา ทำตลาดดังกล่าวอาจจะลำบากในการหาลูกค้า โดยเฉพาะต้นทุนการพัฒนาที่ดินที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างในช่วง 1-2 ปี ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดขณะที่การปรับราคาขายพื้นที่ไม่สามารถปรับขึ้นได้มากนัก

"ผู้ประกอบการนิคมฯรายใหม่อาจต้องขายพื้นที่ในระดับราคา ที่สูงกว่ารายเดิมบ้างเล็กน้อยและภาพรวมราคาที่ดินในปี 2548 ก็น่าจะทรงตัวหรือขยับเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2547 เพราะการแข่งขันที่รุนแรงยังคงมีอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้พื้นที่นิคมฯมีอยู่ประมาณ 20,000 กว่าไร่ แม้จะมีการขายออกไปบ้าง แต่ก็มีการพัฒนาพื้นที่ใหม่ๆเข้ามาทดแทนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง 30,000 ไร่ และหากไม่มีการพัฒนาการใดๆ ก็ยังต้องใช้เวลาขายพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3 ปี"

นายทวิชกล่าวว่า แม้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมจะมีอยู่จำนวนมาก แต่ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับมืออาชีพ เนื่องจากรัฐบาลยังมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดแนวทางการลดต้นทุนทางด้านการขนส่ง โดยเฉพาะเรื่องของระบบโลจิสติกส์ เพราะเชื่อว่าจุดสำคัญที่ทำให้การลงทุนในนิคมฯ เกิดความสนใจเนื่องจากมีระบบสาธารณูปโภค ที่พร้อมทำให้เกิดความได้เปรียบและไม่ทำให้เกิดการกระจุกตัว การลงทุนที่อยู่ในเขตเมืองอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม พื้นที่นิคมฯที่เพิ่มขึ้นมีหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่าจะมากเกินต้องการหรือไม่

หมวดหมู่ของข่าว: 

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด