ค่าเงินดอลลาร์อ่อนกลับมาเป็นปัญหาใหญ่ของธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง หลังจากค่าเงินสหรัฐดิ่งฮวบแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินยูโร และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับเงินเยนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
การอ่อนค่าอย่างรวดเร็วของดอลลาร์ในรอบใหม่นี้ มีจุดเริ่มมาตั้งแต่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2 พฤศจิกายน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
นักลงทุนได้กลิ่นปัญหาขาดดุลแฝดของสหรัฐ
จะรุนแรงขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ยังเป็นผู้นำสหรัฐเช่นเคย และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรครีพับลิกันผูกขาดในรัฐสภาสหรัฐ ทำให้มั่นใจได้ว่านโยบายลดภาษีถาวรของประธานาธิบดีจะต้องผ่านการอนุมัติของรัฐสภาอย่างแน่นอน
การดำเนินนโยบายลดภาษีควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบประกันสังคม จะส่งผลให้ตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 6.7%-7% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงปลายปี 2548 หรือต้นปี 2549 จากระดับปัจจุบันที่อยู่ระดับประมาณ 5.7% ของจีดีพี หรือประมาณ 665 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในจุดยืนของสหรัฐแล้ว การอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นผลดีในระยะสั้น ซึ่งจะให้ประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ได้แก่ 1.ทำให้สินค้าส่งออกของสหรัฐมีความได้เปรียบในตลาดโลก และ 2.เมื่อสินค้าของสหรัฐส่งออกได้มากขึ้น มีรายได้กลับเข้าประเทศมากขึ้นช่วยลดปัญหาการขาดดุลการค้าและดุลงบประมาณให้แคบลง
แต่ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของเงินสหรัฐ ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงเช่นกัน ดังถ้อยแถลงของนาย อลัน กรีนสแปน ประธานธนาคารกลางสหรัฐที่แสดงความเป็นห่วงต่อปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐอีกครั้ง นัยความหมายของนาย
กรีนสแปน คือ หากดอลลาร์อ่อนจนสร้างปัญหาให้กับบางประเทศมากเกินไป ประเทศเหล่านั้นอาจลดการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์แล้วหันไปหาเงินสกุลหลักอื่นๆ แทน
นั่นหมายความว่า เงินทุนจากต่างประเทศที่เคยเข้ามาช่วยผ่อนปรนปัญหาขาดดุลแฝดของสหรัฐ
ก็จะลดทอนลงไป ปัจจุบันต่างชาติถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ประมาณ 50% ของทั้งหมด ถือพันธบัตรของหน่วยงานสหรัฐอีก 12% และหุ้นกู้ ของบริษัทอเมริกัน 25%
ปัญหาคือ หากดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องอยู่เช่นนี้จะกระทบอย่างไรต่อประเทศในเอเชีย ทั้งค่าเงินและเศรษฐกิจ เพราะในขณะนี้นักวิเคราะห์หลายคนทำนายว่า หากปัญหาขาดดุลแฝดไม่คลี่คลายลง ดอลลาร์มีสิทธิอ่อนค่าต่ออีกอย่างน้อย 20% ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
ในมุมของค่าเงิน การอ่อนค่าของดอลลาร์จะกดดันให้ธนาคารกลางในเอเชียต้องเข้ามาแทรก แซงตลาดเพื่อช้อนซื้อดอลลาร์เก็บ เพื่อสกัดค่าเงินของประเทศตน ไม่ให้แข็งค่าขึ้นเกินไป โดยช่วยประคองการส่งออกให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาอยู่
นับถึงปัจจุบัน การแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาระดับค่าเงินเอเชียส่งผลให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.55 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปี 2540 มาอยู่ที่ระดับ 2.265 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
กระนั้น หลายฝ่ายเริ่มกังขาว่าสถานการณ์ดอลลาร์อ่อน และการที่แบงก์ชาติในเอเชียต้องเข้า ไปแทรกแซงตลาดทุกครั้งไป จะเป็นอยู่เช่นนี้อีกนานแค่ไหน
ระยะเวลาที่แน่นอนคงไม่มีใครตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับว่าความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกจะบรรเทาลงได้เมื่อใด แต่นับถึงขณะนี้การอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้สินค้าส่งออกของสหรัฐมีความสามารถในการแข่งขันในบางประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย
ประกอบกับจากผลการศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนตา พบว่าดอลลาร์ยังแข็งค่าเกินความเป็นจริงเมื่อเทียบกับเงินเอเชียโดยเฉลี่ยอยู่ 24% ขณะที่นายสตีเฟน เจน นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนเลย์ ประเมินไว้ในบทความล่าสุดของเขาว่า เงินเอเชียในสกุลเงินบาท วอนของเกาหลีใต้ ดอลลาร์ไต้หวัน และดอลลาร์สิงคโปร์ ยังอ่อนค่าเกินความเป็นจริงอยู่ประมาณ 5% ขณะที่ริงกิตของมาเลเซีย และเปโซของฟิลิปปินส์ ยังอ่อนค่าเกินความเป็นจริงอยู่ 20-25%
หากพิจารณาจากสมมติฐานทั้งสองหมาย ความว่า สหรัฐอาจปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่าต่อไปเมื่อเทียบเงินเอเชีย เพราะยังมีช่องว่างให้ทำได้อยู่ สตีเฟน เจน เชื่อว่า ยิ่งดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐยังคงขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง แรงกดดันให้รัฐบาลสหรัฐดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าจะโหมแรงขึ้น และบีบให้ธนาคารกลางให้เอเชียลดการแทรกแซงตลาด และแบกรับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มาจากผลกระทบของดอลลาร์อ่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่นายสตีเฟน เจน ยังมองในแง่ดีว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจของจีนยังเติบโตอย่างร้อนแรง
ดังเช่นในปัจจุบัน เศรษฐกิจของเอเชียที่เริ่มผูกพันการค้ากับจีนมากขึ้นจะสามารถลดทอนผลกระทบจากภาวะดอลลาร์อ่อนได้อยู่