ทีดีอาร์ไอ เหลียวหลังแลหน้า 20ปีที่เปลี่ยนไปของ คนไทย

หมายเหตุ - ปี 2547 ค่อนข้างพิเศษสำหรับมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) เพราะเป็นปีที่มีอายุครบ 20 ปีพอดี

ทีดีอาร์ไอจึงถือโอกาสนี้จัดสัมมนาประจำปี 2547 ในหัวข้อ "เหลียวหลังแลหน้า : ยี่สิบปีเศรษฐกิจสังคมไทย" เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
พร้อมๆ กันนั้นก็มองไปในอนาคต 20 ปีข้างหน้าว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรด้วย

"มติชน" ขอร่วม "เหลียวหลังแลหน้า" ไปกับทีดีอาร์ไอ ด้วยการนำข้อเขียน "การเปลี่ยนแปลงของคนไทยจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" โดย "วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์" ซึ่งแสดงบางแง่มุมของคุณภาพชีวิตของคนไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดังรายละเอียดต่อไปนี้

บทความนี้มุ่งเน้นให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของคนไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยผ่านสายตาแห่ง "ความหวัง" ของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในข้อเขียน "ปฏิทินแห่งความหวัง : จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" โดยมองย้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของคนไทยตามช่วงวัยตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน
โดยเป็นการนำเสนอในรูปแบบที่ให้สอดคล้องกับ "ความหวัง" ของกลุ่มคนในยุคปัจจุบัน คือ "เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ" ที่ได้จากการประชุมสุดยอดแห่งสหัสวรรษของผู้นำประเทศต่างๆ 189 ประเทศ ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ ปี 2543 ไปพร้อมกันด้วย
เริ่มด้วย

1. "ความหวัง" จากครรภ์มารดาถึงวัยเรียน
ความหวังนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษในเรื่องให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาระดับประถม ลดอัตราการตายของเด็ก และพัฒนาสุขภาพของสตรีมีครรภ์
นับตั้งแต่ปี 2527 คุณภาพชีวิตของมารดาและทารกแรกเกิดดีขึ้นเป็นลำดับ แต่กลับแย่ลงบ้างในไม่กี่ปีย้อนหลัง จนกระทั่งปี 2541 สภาวการณ์กลับแย่ลง

ตัวอย่างเช่น อัตราการตายของมารดาต่อการเกิดมีชีพลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ 48 คนต่อการเกิดมีชีพ 1 แสนคน ในปี 2527 จนถึงอัตราต่ำสุด 7 คนต่อการเกิดมีชีพ 1 แสนคน ในปี 2541 อัตราการตายของมารดา ในปี 2545 กลับสูงขึ้นไปใกล้เคียงกับปี 2539 ทั้งที่บริการสาธารณสุขและการเข้าถึงดีขึ้นกว่าเดิม
อัตราการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เพิ่มเป็น 17 คนต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ในปี 2540 ขณะที่เป้าหมายของไทยต้องการลดให้เหลือ 15 คนต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ในปี 2549 นอกจากนี้ อัตราการเป็นโรคขาดอาหารของเด็กวัยก่อนเรียนกลับสูงขึ้นในระยะหลังปี 2543

สถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นปัญหา 2 ประการ คือ ความคงเส้นคงวาของการเก็บข้อมูล และ/หรือการให้บริการอนามัยแม่และเด็กขาดการพัฒนาให้ดีขึ้น
อัตราการเข้าเรียนของเด็กวัยต่างๆ มีแนวโน้มสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงโอกาสด้านการศึกษาของเด็กไทยดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม อัตราคงอยู่ของนักเรียนระดับประถมอยู่ในระดับร้อยละ 70 ในช่วงปี 2537-2541 และอัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรวัย 15-24 ปี ในปี 2543 เท่ากับร้อยละ 98 เท่านั้น แม้ว่าจะมีการศึกษาภาคบังคับระดับประถมศึกษามาถึง 20 ปีก็ตาม

อัตรานักเรียนระดับมัธยมศึกษาต่อประชากรวัยเรียนค่อยๆ สูงขึ้นนับแต่มีแผนการศึกษาแห่งชาติปี 2535 โดยอัตราการเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นต่อประชากรวัยเรียนเท่ากับร้อยละ 35 และเพิ่มเป็นร้อยละ 85 ในปี 2546&
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กไทยจะมีโอกาสในการศึกษาดีขึ้น แต่โอกาสในการเรียนรู้ "คุณธรรมแห่งชีวิต" ทั้งจากสถาบันครอบครัวและโรงเรียนอาจจะมิได้ดีขึ้นตามไปด้วย

การสำรวจทัศนคติเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นจากเด็กและเยาวชน 38 โรงเรียน พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นทำได้ แต่ต้องมีผลงานออกมาบ้าง ชี้ให้เห็นว่าสังคมคนไทยควรจะร่วมมือกันปรับทัศนคติเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นและความคิดในการแยกแยะถูกและผิดอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นในอีก 20 ปีข้างหน้าเมื่อเยาวชนเหล่านี้มีบทบาทที่สำคัญในสังคม อาจจะช่วยทวีคูณปัญหาคอร์รัปชั่นและปัญหาคุณธรรมอื่นๆ ที่มีมากอยู่แล้วให้รุนแรงขึ้นได้

2. "ความหวัง" ในวัยทำงาน
การที่คนไทยมีโอกาสทางการศึกษาดีขึ้น ทำให้โครงสร้างแรงงานของไทยเปลี่ยนไปมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยอุปทานแรงงานระดับมัธยมเทียบกับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2534-2543 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการมีงานทำของผู้จบระดับมัธยมศึกษาเพิ่งจะดีกว่าระดับประถมศึกษาหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ขณะเดียวกันโอกาสการมีงานทำของแรงงานระดับมัธยมศึกษาต่ำกว่าระดับอุดมศึกษาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2534 นอกจากนี้ค่าจ้างต่อชั่วโมงของแรงงานระดับมัธยมโดยเปรียบเทียบกับแรงงานระดับประถมศึกษาและอุดมศึกษาแย่ลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา

ที่สำคัญ ปัญหาของคนไทยอยู่ที่ว่างานที่ทำอยู่ให้ผลตอบแทนไม่เพียงพอต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และแต่ละอาชีพมีผลตอบแทนแตกต่างกันมากจนสร้างปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน

ปี 2531 คนไทยประมาณ 17.7 ล้านคน หรือร้อยละ 32.6 ของประชากร มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นด้านอาหารและการดำรงชีพอื่น ในปี 2539 ลดลงเหลือ 6.8 ล้านคน หรือร้อยละ 11.4 และกลับเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2541-2543 ก่อนจะลดลงเป็น 6.2 ล้านคน หรือร้อยละ 9.8 ในปี 2545
ในปี 2552 ประเทศไทยมีเป้าหมายจะลดสัดส่วนคนจนให้เหลือเพียงร้อยละ 4 ของประชากร

ในช่วงเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา สัดส่วนคนมีรายได้น้อยกว่าความจำเป็นในด้านอาหารและการดำรงชีพลดลงประมาณ 2 ใน 3 แต่ทว่าส่วนแบ่งความมั่งมีทางเศรษฐกิจกลับมิได้กระจายไปสู่คนรายได้ต่ำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ในปี 2531 ประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุด 1 ใน 5 ของประเทศมีส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 4.5 ของรายได้จากประชากรทั้งหมด สูงสุดตั้งแต่ปี 2531-2545 ในปี 2545 นั้น ประชากรมีรายได้น้อยที่สุด 1 ใน 5 ของประเทศ มีส่วนแบ่งรายได้เพียงร้อยละ 4.2 เท่านั้น
ประชากรที่มีรายได้มากที่สุด 1 ใน 5 ของประเทศมีส่วนแบ่งรายได้มากถึงร้อยละ 56.2

นอกจากนี้ ความมั่นคงปลอดภัยในด้านจิตใจ ชีวิตและทรัพย์สินและปัญหาครอบครัวของคนไทย มีแนวโน้มแย่ลง อัตราการป่วยโรคจิตและซึมเศร้าของคนไทยสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2540 จำนวนผู้ป่วยทางจิตมีอัตรา 440 คนต่อประชากร 1 แสนคน และเพิ่มกว่า 2 เท่า เป็น 828 คนต่อประชากร 1 แสนคน ใน 5 ปีต่อมา
อัตราการเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มจาก 56 คนต่อประชากร 1 แสนคน เป็น 175 คนต่อประชากร 1 แสนคนในช่วงเดียวกัน อัตราการเข้ารับการรักษาพยาบาลด้วยความผิดปกติทางจิตเพิ่มเป็นสองเท่าจากปี 2535-2544 อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2537-2544

ส่วนการรักษาพยาบาลของคนไทยนั้นดีขึ้นเป็นระยะๆ แต่ปัญหาการรักษาพยาบาลของไทยปัจจุบันไม่ใช่เรื่องการไม่สามารถเข้าถึงบริการ แต่เป็นเรื่องคุณภาพบริการและความไม่เท่าเทียมกันของการได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลจากรัฐ โดยประชากรที่จนที่สุด 1 ใน 5 ของประเทศได้รับประโยชน์จากรัฐกรณีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพียงร้อยละ 18 ส่วนใหญ่ได้รับผ่านการใช้บริการจากสถานีอนามัยและโรงพยาบาลชุมชน(ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยต่อการให้บริการต่ำ)

คนในเมืองโดยเฉลี่ยรวยกว่าได้รับประโยชน์จากการใช้บริการจากโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปสูงกว่าประชากรที่อยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางได้รับประโยชน์สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ จากโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

3. "ความหวัง" ในวัยชราถึงเชิงตะกอน
คนไทยในวัยชรายังขาดความมั่นคงด้านรายได้ หลักประกันรายได้สำหรับคนชราในไทยซึ่งมี 3 ระบบคือ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพสำหรับคนชราที่ยากจน บำเหน็จบำนาญสำหรับข้าราชการ และกองทุนประกันสังคมสำหรับลูกจ้าง ซึ่งในปี 2545 ทั้งสามระบบครอบคลุมประชากร 4 แสนคน 1.8 ล้านคน และ 7 ล้านคน ตามลำดับ แต่โดยรวมแล้วประชาชนไทยประมาณ 32.8 ล้านคนยังไม่มีหลักประกันด้านรายได้เมื่อถึงคราวชราภาพ

4.คุณภาพชีวิตของคนไทยในอนาคต
ประเด็นที่ท้าทายต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยในอนาคตตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนที่บทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นยังคงสอดคล้องกับปฏิทินแห่งความหวังของ ดร.ป๋วย ซึ่งประกอบด้วย
- การพัฒนาอนามัยแม่และเด็กให้ทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
- การเรียนรู้คุณธรรมและการหล่อหลอมทัศนคติในการแยกแยะสิ่งที่สังคมไทยเห็นว่า "ถูกต้อง" และ "ไม่ถูกต้อง
- การส่งเสริมบทบาทของครอบครัวในการให้ความรู้และคำปรึกษาแก่เด็ก
- การทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาระดับตติยภูมิอย่างเท่าเทียมกัน
- การทำให้ผลตอบแทนของแต่ละอาชีพทัดเทียมกันมากขึ้น
- การลดอัตราการว่างงานและสร้างความมั่นคงในชีวิตการงาน
- การส่งเสริมให้คนไทยมีเวลาว่างสำหรับครอบครัวมากขึ้น
- การลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุทุกประเภท จากความไม่สงบภายใน จากโรคมะเร็ง และจากโรคหัวใจ
- การสร้างความมั่นคงแก่ชีวิตให้คนไทยในวัยชรา

หมวดหมู่ของข่าว: 

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด