สคช.ปรับวิธิคิดจีดีพียกระดับความเชื่อถือ

ผู้จัดการรายวัน - ?สภาพัฒน์?เตรียมนำแนวทางปรับจีดีพีใหม่ แถลงวันนี้ พร้อมสร้างความมั่นใจกับสถาบันต่างประเทศมากขึ้น ด้าน?หอการค้า?เชื่อจะเป็นแนวทางที่ดี และเป็นกลางขึ้น เผยการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยและ ราคาน้ำมันดีเซล จะเป็นตัวเสี่ยงด้านเศรษฐกิจปี 48 ขณะที่สำนักงบประมาณ เตรียมเสนอขอเงินครม.วันนี้ 139,921 ล้านบาท พัฒนาและปรับปรุงระบบโครงการพื้นฐานของประเทศ
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.จะทำการแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(จีดีพี)ไตรมาส 3เวลา 09.00น.วันนี้ (7 ธ.ค.)โดยจะเป็นการปรับแนวทางการกำหนดอัตราตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นจากสถาบันต่างประเทศและในระดับประเทศมากขึ้น โดยการนำข้อมูลและตัวเลขจากสถาบันพยากรณ์ต่างๆ เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.),ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.),มหาวิทยาลัยหอการค้า และ ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น ที่ได้แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไปแล้วมาประมวลในการจัดทำสมมติฐานประมาณการต่อไป
?ประเทศไทยจะมีระดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจในอันดับที่ 22 ของโลก แต่เมื่อทางกระทรวงคลังและกระทรวงเกษตรฯ เคยออกมาคัดค้านตัวเลขที่ สศช.เสนอโดยเฉพาะดัชนีของสินค้าเกษตร เป็นต้น ดังนั้นจำเป็นต้องมีกระบวนการคำนวณตัวเลขใหม่ที่ได้รับการยืนยันและรับรองจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงมากขึ้น และการนำตัวเลขของสถาบันพยากรณ์เศรษฐกิจมาชั่งน้ำหนักในการประมาณการที่ไม่ใช่อยู่ในสมมติฐานของ สศช.เพียงผู้เดียว ก็จะทำให้ทุกหน่วยงานยอมรับตัวเลขมากขึ้นและที่สำคัญก็ส่งผลให้ สศช.และประเทศมีเครดิตด้วย?
นอกจากนี้ ก่อนที่จะมีการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการแต่ละครั้ง ก็จะให้เจ้าหน้าที่ สศช. รักษาข้อมูลไม่ให้รั่วไหล เพราะหากข้อมูลออกไปก่อนก็จะทำให้มีผู้เสียเปรียบ และได้เปรียบเกี่ยวกับการลงทุนเกิดขึ้น และที่สำคัญหากกองทุนระหว่างการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)รับทราบเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะปรับลดระดับความน่าเชื่อของไทยลง
นายธนวรรน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หาก สศช.จะนำข้อมูลการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งภาครัฐและเอกชนมาสร้างสมมติฐานใหม่นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะนำแนวคิดการคำนวณด้านการเงิน น้ำมัน การบริโภค แต่ละฝ่ายทั้งข้อดีและข้อเสียมาพิจารณาใหม่ เพราะจะดูเป็นกลางและน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของเอกชนมองว่า คงไม่จำเป็นที่ต้องดำเนินการดังกล่าวก็ได้เพราะเดิม สศช.ก็นำข้อมูลที่น่าเชื่อถือของหน่วยงานต่างๆอยู่แล้ว
นายธนวรรน์ ยังกล่าวถึงแนวทางในกระตุ้นการบริโภคในปี 48 ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งจัดทำประชาสัมพันธ์ให้ทุกฝ่ายได้รับรู้สถานการณ์ที่เป็นความจริงทั้งในเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม,ทิศทางดอกเบี้ย,ราคาน้ำมัน,ไข้หวัดนก และ ปัญหาความไม่สงบภายแดน เป็นต้น รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาต่างๆแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่ยั่งยืน รวมถึงการนำงบประมาณไปลงทุนในโครงการตามท้องถิ่น ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในการจ้างงานมากขึ้นด้วย
?ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจในปี 48 ประกอบด้วย การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยและ ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น ก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคแพงขึ้นตามลำดับ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของการผลิตสูงขึ้น
นอกจากนี้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้,ไข้หวัดนก และการแข็งค่าของเงินบาท ก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลคงจะแก้ปัญหาโดยการนำเงินมหาศาลมาลงทุนในโครงการใหญ่มากระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ระดับหนึ่ง?
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในวันนี้ (7 ธ.ค.) สำนักงบประมาณจะเสนอรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจำนวน 1,065 รายการ เป็นเงิน139,921 ล้านบาทให้ครม.อนุมัติ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบโครงการพื้นฐานของประเทศ เช่น เส้นทางคมนาคม ,สาธารณสุข,การศึกษาและ การเกษตร เป็นต้น โดยแบ่งเป็นโครงการลงทุนที่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1,047 โครงการ มูลค่า 67,985 ล้านบาท และ โครงการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาทจำนวน 18 โครงการมูลค่า 71,936 ล้านบาท
ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณผูกพันข้ามปีประกอบด้วยการใช้งบประมาณ 48 จำนวน 24,610.2 ล้านบาท,ปี 49 จำนวน 54,888.8 ล้านบาท, ปี 50 จำนวน 39,083.3 ล้านบาท, ปี 51 จำนวน 12,623.3 ล้านบาท,ปีต่อๆไป จำนวน 77.4 ล้านบาท, เงินนอกงบประมาณ จำนวน 1,988.6 ล้านบาท และสุดท้ายเป็นเงินสำรองเผือเหลือเผือขาดจำนวน 6,649.4 ล้านบาท
สำหรับหน่วยงานที่ใช้งบประมาณมากสุด คือ กระทรวงคมนาคมมี 661 รายการมูลค่า86,632.4 ล้านบาท รองลงมาเป็น กระทรวงศึกษาธิการจำนวน 102 รายมูลค่า 9,141.8 ล้านบาท, กระทรวงเกษตรฯ 71 รายการมูลค่า 8,952.2 ล้านบาท, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 24 รายการมูลค่า 6,747.2 ล้านบาท,กระทรวงหมาดไทย 9 รายการมูลค่า 6,582.9 ล้านบาท และกระทรวงกลาโหม 10 รายการมูลค่า 5,269.6 ล้านบาท เป็นต้น
?การขออนุมัติงบผูกพันข้ามปีแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 12 ประเภท โดยรายการก่อสร้างและปรับปรุงระบบคมนาคมขอผูกพันเป็นวงเงินสูงสุด 95,972.7 ล้านบาท หรือ 68.6% ของวงเงินขอผูกพันทั้งสิ้น รองลงมาเป็นการก่อสร้างและปรับปรุงระบบสารณูปโภคเป็นวงเงิน 9,087.4 ล้านบาท หรือ 6.5%?

หมวดหมู่ของข่าว: 

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด