ส.ว.-นักกฎหมาย-เอ็นจีโอ ชี้ตรงกันควรแก้รัฐธรรมนูญ ถอนเขี้ยว 'ทักษิณ' ตีกันหากจะแก้ต้องไม่รื้อทั้งฉบับ ด้าน 'อมร' แนะแก้ความขัดแย้งของคนก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญ
ขณะที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญกลับหลังหันซูฮกรัฐบาลอยู่ครบ 4 ปีถือเป็นความสำเร็จของรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ของวันที่ 10 ธันวาคม ที่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีตัวแทนองค์กรอิสระ สมาชิกรัฐสภาฝ่ายการเมือง ข้าราชการ หน่วยงานรัฐวิสากิจ คณะบุคคล นักเรียน และประชาชนทั่วไปจำนวนมาก ได้วางพานพุ่มดอกไม้ถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกแห่งราชอาณาจักรไทย และนับเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
วันรัฐธรรมนูญปีนี้มีการให้ความเห็นถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างกว้างขวาง และหลายแง่มุม นายกระมล ทองธรรมชาติ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหลังวางพวงมาลาว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือเป็นฉบับของประชาชน คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่การใช้รัฐธรรมนูญไม่มีประสิทธิภาพก็แล้วแต่มุมมองว่ารัฐบาลมีอำนาจมากเกินไป ซึ่งบางคนก็บ่นว่าไม่ดีอยากจะให้รัฐบาลผสม แต่เราก็มีประสบการณ์มากว่า 60 ปี ที่มีรัฐบาลผสมก็อยู่ไม่ครบวาระ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องการให้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ก็อยู่ครบวาระครั้งแรกในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าความตั้งใจที่เขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวไปแล้ว ส่วนการใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพตนก็ไม่แน่ใจว่ามีจุดใดบ้าง โดยเฉพาะองค์กรอิสระต้องดูว่าการทำงานบกพร่องและไม่เป็นอิสระในจุดใด ต่างคนก็ต่างมุมมอง
นายกระมลกล่าวว่า จะให้ทุกฝ่ายพอใจกับการใช้รัฐธรรมนูญทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ คนที่พอใจก็บอกว่าได้ทำหน้าที่แล้ว ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่าไม่สมกับเจตนารมณ์ ซึ่งต้องมองว่ารัฐธรรมนูญเป็นเอกสารทางการเมือง เป็นกฎหมายทางการเมือง ดังนั้น การเมืองก็ต้องมีการแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เพราะฉะนั้นต้องไปถามคนที่เป็นกลาง แต่บางครั้งฝ่ายที่เป็นกลางก็ถูกมองว่าเป็นกลางไม่เป็นจริง ในส่วนตัวตนพอใจกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ ถ้าไปแก้กลับไปสู่ของเดิม ไม่แน่ใจว่าจะเกิดผลเหมือนเดิมหรือไม่ คือรัฐบาลอ่อนแอ หรือนายกรัฐมนตรีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกสมัยประชุม
"ขณะนี้สภาเราปฏิรูปแล้ว ซึ่งเราได้เอารูปแบบมาจากหลายประเทศ เช่น ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส อเมริกา เป็นต้น ซึ่งได้นำรูปแบบบางส่วนมาผสมผสานกันให้เป็นรัฐธรรมนูญของไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญของเราไม่เหมือนใครในโลกนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อมองว่ารัฐธรรมนูญไม่ต้องแก้ไข แต่ในส่วนของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีข้อบกพร่องควรจะแก้ไขหรือไม่ ประธานศาลรัฐธรรมนูญตอบว่า ขึ้นอยู่กับผู้ใช้และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ เช่น กฎหมายเลือกตั้งก็ต้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้เสนอแก้ในส่วนใดบ้าง ซึ่งตนก็เคยหารือกับ กกต. ซึ่ง กกต.ก็อยากจะแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยเลือกตั้งท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการประกาศรับรองผู้ที่ได้รับเลือก ซึ่งกว่าจะประกาศได้ก็ต้องในระยะเวลานาน ถือเป็นข้อบกพร่องที่ต้องพิจารณาว่าจะแก้ไขอย่างไร
ด้านนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญต่อรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยมาตลอด มีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาหลายครั้ง ด้วยความเข้าใจว่าจะทำให้ประชาธิปไตยดีขึ้น มาจนถึงฉบับล่าสุดนี้ได้ตั้งความหวังไว้หลายเรื่อง ทั้งสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชน การป้องกันคนไม่ดีไม่ให้เข้าสู่อำนาจ และการมีองค์กรตรวจสอบ แต่ 3-4 ปีที่ผ่านมา วัตถุประสงค์หลายอย่างยังไม่สัมฤทธิผลเท่าใดนัก
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า วันนี้จะบอกว่าการเมืองดีขึ้นกว่าเดิม ก็พูดกันลำบาก บางครั้งก็พบว่าประชาชนตื่นตัวมากขึ้น ปัญญาชนออกมามีบทบาทเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่ก็มีการใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงินยังมีอยู่ แสดงว่าประชาธิปไตยยังไม่ดีเท่าที่ควร สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เคยได้รับการยอมรับว่าประเทศไทยดีมากก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีปัญหา แม้แต่สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนก็ถูกปกปิดบิดเบือน และเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ก็ต้องยอมรับว่าใหญ่โตมากขึ้น นอกจากนี้ ภาพขององค์กรอิสระถูกอำนาจทางการเมืองแทรกแซงก็มีให้เห็น
"แน่นอนว่าจะไปฝากไว้กับตัวบทกฎหมายคงเป็นไปไม่ได้ แต่อยู่ที่จิตสำนึกของประชาชน จิตสำนึกของคนที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ หรือแม้กระทั่งจิตสำนึกของฝ่ายการเมืองเอง หากเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ แล้วหันมาเดินในครรลองที่น่าจะถูกต้องเหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ไม่พยายามหลีกเลี่ยงกัน ทุกอย่างจะดีขึ้นได้" นายบัญญัติกล่าว
นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่า สมควรที่จะมีการแก้ไขเช่นเดียวกัน เพราะมีหลายประเด็นที่ควรแก้ไข โดยส่วนตัวมองว่าองค์ประกอบของการกลั่นกรองบุคคลเข้าไปอยู่ในองค์กรอิสระที่มาจากสัดส่วนพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้กลายเป็นว่าเสียงข้างมากเข้าไปมีส่วนในการกำหนดหรือบล็อกโหวต จึงทำให้ศรัทธาเสียไป ดังนั้นต่อไปเมื่อมีองค์กรอิสระแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำสัดส่วนพรรคการเมืองออกไปจากคณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระ โดยการคัดสรรบุคคลควรเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระด้วยกัน เช่น การให้ประธานศาลฎีกา ปปง. ป.ป.ช. ผู้ตรวจการรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ส่งตัวแทนมาเป็นกรรมการสรรหา คำครหาว่าบล็อกโหวตก็จะหมดไป
นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ หัวหน้าพรรคมหาชน กล่าวว่า อยากทบทวนเพื่อให้มองเห็นว่า เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น เป็นรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาสมบูรณ์แบบ เพราะอำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของรัฐสภาโดยสิ้นเชิง โดยสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีและแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า ประธานคณะกรรมการราษฎรและกรรมการราษฎร โดยฝ่ายบริหารไม่สามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่ปัจจุบันระบบรัฐธรรมนูญของไทยเป็นระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี เพราะแม้ว่าอำนาจอธิปไตยยังอยู่ในมือของรัฐสภา แต่อยู่ในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ฝ่ายบริหารมีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด รัฐสภาไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้เลย
"การอภิปรายรัฐมนตรีที่ผ่านๆ มา ก็ไม่สามารถทำให้รัฐมนตรีสะดุ้งสะเทือนได้แม้แต่คนเดียว สภาผู้แทนราษฎรทุกวันนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีในระบบประธานาธิบดี โดยหลังเลือกตั้งก็มาทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรแทบจะทำอะไรไม่ได้ ผมจึงคิดว่า 7 ปีที่เราอยู่ใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ตอนนี้เราน่าจะต้องพิจารณาทบทวนแล้วว่าจะต้องนำประเทศไทยกลับไปสู่ระบบรัฐสภามากยิ่งขึ้น โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีทำได้ง่ายขึ้น อาจจะใช้คะแนนเสียงเท่าๆ กับที่ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี" หัวหน้าพรรคมหาชนกล่าว
นายเอนกบอกว่า ยังไม่ควรให้มีการควบรวมพรรคการเมืองหลังจากที่มีการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงไปแล้ว และอยู่ในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพราะจะทำให้พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลเติบโตเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ และเป็นภัยคุกคามกับระบอบประชาธิปไตยได้ การควบรวมพรรค ควรอนุญาตให้ทำได้เฉพาะเมื่อมีการยุบสภา หรือสภาผู้แทนราษฎรหมดอายุ หรืออยู่ระหว่างการเตรียมการเลือกตั้งหรือระหว่างเลือกตั้งเท่านั้น
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าตลอด 4 ปีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้ทำให้รัฐธรรมนูญอยู่ในสภาพสีเทา ด้วยการพยายามดำเนินการที่ขัดหรือแย้งและไม่สนใจเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เช่น การเข้าสู่อำนาจรัฐโดยการแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ เช่น กกต.ที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยรัฐบาลได้แสดงให้เห็นบ่อยว่ามีอำนาจเหนือองค์กรเหล่านี้ ซึ่งล่าสุดมีการใช้อำนาจสั่งให้ กกต.เลื่อนวันเลือกตั้งจากวันที่ 13 ก.พ.มาเป็นวันที่ 6 ก.พ. นอกจากนี้ยังมีการเข้าสู่อำนาจทางรัฐด้วยการดูด ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่น ควบรวมพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และใช้เงินงบประมาณไปก่อให้เกิดประโยชน์กับรัฐบาลในการสร้างค่านิยมทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ยังมีการใช้อำนาจรัฐข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้ามหลายกรณี และทำลายการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทั้งในสภาและนอกสภา โดยการรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านมีโอกาสตรวจสอบได้ และยังไม่ให้ความร่วมมือในการตอบกระทู้สดและกระทู้โดยทั่วไปในสภา ในรอบ 4 ปีนายกฯ มาตอบเพียง 3 ครั้ง รวมถึงไม่ดำเนินการให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จะเห็นได้จากการไม่ให้ความสำคัญกับการเสนอร่างกฎหมายของประชาชน หลายโครงการที่รัฐบาลอนุมัติไปก่อนที่จะมีการจัดทำประชาพิจารณ์ และบางโครงการก็ไม่รับฟังความเห็นจากประชาชนเลย
"รัฐบาลไม่สร้างวัฒนธรรมที่ดีตามเจตนารมณ์ 5 ด้าน คือ 1.ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีใช้เสียงข้างมากลากไปในลักษณะเผด็จการ และไม่รับฟังเสียงข้างน้อย 2.ไม่รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างโดยเฉพาะนักวิชาการ เอ็นจีโอ 3.รัฐบาลนี้ไม่เคยจัดกิจกรรมในการรณรงค์ห้ามซื้อสิทธิขายเสียง 4.รัฐบาลไม่จัดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจัง 5.รัฐบาลเอาเปรียบพรรคการเมืองและนักการเมือง รวมถึงบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม" นายองอาจกล่าว
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันเดียวกัน สมาคมนิติศาสตร์ ร่วมกับศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาเรื่อง "รัฐธรรมนูญประชาชน ถึงเวลาปฏิรูปหรือยัง" เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม
นายสมยศ เชื้อไทย นายกสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีลักษณะเป็นรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง สร้างระบบรัฐสภาให้เป็นเช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ และการเริ่มต้นเพื่อการปฏิรูปในปี 2540 ถึงวันนี้ใช้มากว่า 7 ปี จึงต้องมาพิจารณากันว่าจะมีการทบทวนหรือแก้ไขหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ให้อำนาจกับประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง เห็นได้จากรัฐธรรมนูญมาตรา 336 ที่กำหนดให้ เมื่อครบห้าปี ให้ กกต. คณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจในการริเริ่มนำเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา
"เมื่อพิจารณาดูในส่วนนี้ ประชาชนจึงไม่มีอำนาจในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจเพียง 3 องค์กรดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสามองค์กรก็มีอำนาจเพียงแค่ริเริ่มในการทำรายงานเสนอเท่านั้น ที่มีอำนาจคือ ส.ส.และ ส.ว.ในสภาเท่านั้น ซึ่งหากสองฝ่ายนี้ไม่มีการดำเนินการที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว โอกาสที่ประชาชนหวังที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นไปไม่ได้ และผมก็มั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะให้ ส.ส.และ ส.ว.เป็นผู้ริเริ่มก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งสองส่วนนี้จะไม่ยอมที่จะแก้ในสิ่งที่ตนเองเสียประโยชน์" นายสมยศกล่าว และว่า ข้อเท็จจริงในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ควรจะต้องเขียนบรรจุให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญอยู่ในรัฐธรรมนูญด้วย เพื่อให้สภาร่างคอยทำหน้าที่เป็นแกนนำในผู้แก้ไขรัฐธรรมนูญนี้
นายพิภพ ธงไชย ที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า หลักรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีเจตจำนงอยู่ 2 ประการ คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น รัฐธรรมนูญจะให้ความสำคัญกับการเมืองทางตรง ส่วนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญได้เน้นถึงการพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลัก หรือทุนนิยม และเศรษฐกิจกระแสรองหรือเศรษฐกิจพอเพียง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีการตีความรัฐธรรมนูญโดยให้น้ำหนักไปทางทิศทางการพัฒนาประเทศแบบทุนนิยม และไม่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน
"คุณทักษิณพยายามตีความรัฐธรรมนูญไปในด้านเดียว คือปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ความสำคัญกับระบบสั่งการ หรือที่เราเรียกว่าซีอีโออย่างมาก และมุ่งนำประเทศไปสู่ทุนนิยมมากกว่าเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นจะถือว่าเป็นซะตากรรมของประเทศก็ไม่ผิด ที่รัฐธรรมนูญได้อำนาจนายกรัฐมนตรีไว้มาก และยากที่จะสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าก็ควรที่จะแก้ตรงประเด็น" นายพิภพกล่าว
ที่ปรึกษา ครป.กล่าวว่า จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญยังปฏิเสธการเติบโตของพรรคการเมืองขนาดเล็ก ด้วยการบังคับให้พรรคการเมืองทุกพรรคต้องได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ถึง 5% ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับพิจารณาให้จำนวน ส.ส. นี่เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งที่ทำให้พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แตกต่างไปจากพรรคการเมืองปัจจุบัน ไม่สามารถเติบโตได้ จึงดูเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับนี้สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวคิดแบบทุนนิยมเสรีมากเกินไป ทั้งนี้ หากจะให้คะแนนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในแง่การตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน ตนให้ 100 คะแนน แต่กลไกของรัฐธรรมนูญที่ปิดทางการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นถือว่าสอบตก อย่างไรก็ตาม จะโทษรัฐธรรมนูญคงจะไปโทษไม่ได้ ต้องโทษคนมีอำนาจในการใช้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งศาล องค์กรอิสระต่างๆ ที่ไม่เป็นอิสระด้วย
"คนชนชั้นกลางขณะนี้ได้เริ่มเรียนรู้แล้วว่านายกรัฐมนตรีนั้นมีอำนาจมากเกินไป จนไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ประชาชนจะต้องตัดสินอนาคตของประเทศ ส่วนตัวผมมองว่าประเทศหากผู้นำไม่ใช่ คุณทักษิณ ชินวัตร จะดีกว่านี้ เพราะคุณทักษิณเติบโตมาจากพ่อค้าผูกขาด มีรากฐานความคิดแบบสั่งการมากกว่าการมีส่วนร่วม และเติบโตมาจากตำรวจที่ยากจะเข้าใจในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ และที่สำคัญประวัติของคุณทักษิณไม่เคยต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาไม่ใช่เป็นการแก้ไขบางมาตรา แต่เป็นการแก้ไขทั้งฉบับจนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ทั้งนี้หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันควรจะแก้เฉพาะบางมาตราที่เห็นว่าไม่ดีเท่านั้น แต่อย่าไปรื้อทิ้งทั้งฉบับเพราะมีหลายมาตราที่มีส่วนดี อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เปิดช่องให้มีการคอรัปชั่นอย่างมากมาย และไม่สามารถที่จะเอาผิดได้
"ปัจจุบันมีการพยายามจะเอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น เพื่อทำให้ตลาดกว้างขึ้น และหุ้นของตัวเองก็จะได้สูงขึ้น เหล่านี้ผมขอเรียกว่าเป็นการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่นที่เกิดขึ้นนี้ถือว่าเป็นมะเร็ง หรือฝีร้าย รัฐธรรมนูญทั้ง 15 ฉบับที่เราได้ยกเลิกไปแล้ว ล้วนแล้วแต่สามารถจับคนที่คอรัปชั่นมาลงโทษได้ แต่ผมไม่เชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 จะสามารถจับคอรัปชั่นได้ กว่าจะจับได้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน เหมือนนายราเกซ สักเสนา จับได้แต่ได้เงินกลับคืนเพียงส่วนน้อย ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยน อย่าไปคิดว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน จะต้องมีการแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดี รัฐและการแก้ไขจะต้องสามารถจับการทุจริตคอรัปชั่นให้ได้ด้วย หากจะให้ผมให้คะแนนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตนสามารถให้ได้แค่ 60% ที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดเท่าที่เรามีมา เนื่องจากมีความลึกลับในทุกแง่มุม" นายเดชอุดมกล่าว และว่า การที่รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สำคัญหากการอยู่นั้นอยู่อย่างคลุมเครือ และขาดความโปร่งใส ชอบธรรมในการตรวจสอบ สิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีการแก้ไขให้อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น
น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา กล่าวว่า ตนเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้อยู่ในขณะนี้กำลังถูกทำร้าย และถูกตัดตอน จากผู้ที่มีอำนาจและนักธุรกิจที่ผูกขาด อีกทั้งผู้ที่เข้าสู่อำนาจทางการเมืองจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้เกิดการรวบอำนาจการบริหารประเทศทั้งอำนาจฝ่ายบริหาร และรัฐสภา โดยปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เกิดจากตัวบุคคลที่ใช้รัฐธรรมนูญ อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคม โดยมองว่าใครไม่ใช่พวกพ้องของตัวเองจะถูกต่อต้าน อีกทั้งยังทำให้เกิดความรุนแรงทางสังคมเกิดขึ้น
น.พ.นิรันดร์บอกว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จากการติดตามข้อมูลจะทราบว่ามีคนไทยที่จะต้องตายไปโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมจำนวนมากถึง 4,000 ศพ ที่มาจากนโยบายของรัฐบาลไม่ว่านโยบายปราบปรามยาเสพติด การแก้ไขปัญหาภาคใต้ เป็นต้น รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังส่งเสริมให้คนไทยไม่รู้จักทำมาหากิน หวังแต่โชคลาภและการช่วยเหลือจากภาครัฐโดยเฉพาะนโยบายหวยบนดิน ซึ่งเราทราบ หรือว่าจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานสลากกินแบ่งฯ สามารถทำกำไรสุทธิจากหวยบนดินได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา โดยที่นายกรัฐมนตรีสามารถที่จะนำไปใช้อะไรก็ได้ นโยบายนี้ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำลายสังคมไทยถึงรากเหง้า
น.พ.นิรันดร์ยังกล่าวว่า มีข้อเป็นห่วงจากผลของการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในหลายเรื่อง คือ 1.การโกงกินบ้านเมืองถึงเข้ากระดูกดำ ซึ่งประชาชนจะไม่มีความรู้สึกในเวลานี้ แต่จะมารู้ทีหลังเมื่อตนเองตายไปแล้ว ปัญหานี้หมายถึงการก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ 2.ปัญหาการสรรหากรรมการในองค์กรอิสระ ซึ่งที่ผ่านมาตนถือว่าล้มเหลวมาโดยตลอด เพราะจะถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองโดยทำเป็นใบสั่ง ดังนั้นบุคคลที่ผ่านการสรรหามักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นร่างทรง หรือเป็นเด็กฝากตามมาตลอด บุคคลที่ผ่านการสรรหาเหล่านี้คนโดยทั่วไปมีความเชื่อว่าจะไม่รักษาความเป็นกลางได้ และที่เห็นขณะนี้คือการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งที่รับทราบในเวลานี้มีการบล็อกโหวต มีการซื้อตำแหน่ง โดยเรียกเงินหลายแสนบาท 3.การทำหน้าที่ของวุฒิสภาไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มที่ เนื่องจากมีการแทรกแซงจากฝ่ายบริหารมาโดยตลอด อีกทั้งการให้ความร่วมมือจากฝ่ายบริหารในการเข้าชี้แจงตอบข้อซักถามในที่ประชุมวุฒิสภา หรือขั้นตอนของกรรมาธิการ ต่างไม่ได้รับความร่วมมือ
"ผมไม่ปฏิเสธว่านายกฯ ให้ความสำคัญในการเข้าชี้แจงต่อวุฒิสภาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่ลักษณะการชี้แจงของนายกฯ ที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดประโยชน์แต่อย่างไร เพราะการชี้แจงของนายกฯ ต่อที่ประชุม เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นใช้เวลา 10-20 นาทีแล้วเดินทางกลับ ทำให้ที่ประชุมวุฒิสภาไม่มีโอกาสที่จะซักถามหรือตอบโต้ เสนอแนะข้อคิดเห็นต่างๆ ต่อหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ ดังนั้นผมจึงถือว่าการมาชี้แจงของนายกฯ ต่อที่ประชุมวุฒิสภาเป็นเหมือนการสร้างภาพเท่านั้น" น.พ.นิรันดร์กล่าว
ด้านนายอมร จันทรสมบูรณ์ นักกฎหมายอาวุโสมหาชน กล่าวว่า หากพิจารณารัฐธรรมนูญระหว่างคนกับระบบ สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน และต้องเริ่มมองจากตรรกะของรัฐธรรมนูญว่ามีไว้ควบคุมคนหรือไม่ ทั้งนี้ พฤติกรรมคนมีทั้งดีและไม่ดี เพราะพื้นฐานของมนุษย์ยังประกอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ดังนั้นการแก้รัฐธรรมนูญหากจะบอกว่าให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมนั้น ยังไม่ใช่เป็นคำตอบ เพราะสุดท้ายเชื่อว่าประชาชนจะมีการแบ่งความเห็นออกเป็นสองฝ่ายอยู่ดี จึงต้องมาวางระบบใหม่ก่อนที่จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ว่าหากมีการโต้แย้งของสองฝ่ายเกิดขึ้นแล้วใครจะเป็นคนชี้ขาด