เอเชียบอนด์หวิดสะดุดคลังยกเว้นภาษีดบ.ช้า

แก้ลำปรับร่างกม.ใหม่-พันธบัตรรัฐ-รัฐวิสาหกิจได้เอี่ยว

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการออกขายพันธบัตรเอเชีย (เอเชียบอนด์) ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังยังรอการประกาศใช้กฎหมายยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของนักลงทุนผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (Non resident invester) ซึ่งมีความล่าช้าจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะประกาศได้ภายในเดือนพ.ย. 47 ที่ผ่านมา ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้แก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมในประกาศดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังครอบคลุมกับพันธบัตรรัฐบาลที่ออกขายในอดีตทั้งหมด รวมถึงพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และพันธบัตรของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับจากกฎหมายฉบับนี้ คือ การได้รับยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ดอกเบี้ยเงินได้จากส่วนล้ำมูลค่าตราสาร (Capital Gain) และมูลค่าส่วนลดจากการซื้อขาย หรือดิสเคาต์ สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐโดยจะครอบคลุมทั้งการลงทุนโดยตรง หรือโดยอ้อมผ่านทางกองทุนเพื่อการลงทุน

รายงานข่าวกล่าวว่า เมื่อกฎหมายมีผลบังคับย้อนหลัง จะไม่ส่งผลให้แผนการออกเอเชียบอนด์เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในขณะนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เตรียมออกเอเชียบอนด์ ในช่วงระหว่างเดือนพ.ย. 47-มี.ค. 48 แล้ววงเงินรวมกว่า 59,900 ล้านบาท โดยพันธบัตรดังกล่าวเป็นการกู้ชดเชยความเสียหายให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ทั้งหมด 2 รุ่น คือ FIDF 1 จำนวน 49,900 ล้านบาท และ FIDF 3 จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยจะทยอยเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยจนถึงปัจจุบันมีการเปิดประมูลขายไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 17,500 ล้านบาท

ส่วนแผนการออกเอเชียบอนด์ในปีงบประมาณ 2548 จะมีวงเงินรวม 240,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังจะออกพันธบัตรรุ่นแรก ที่ออกภายในปี"47 นี้ จะเป็นพันธบัตรอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยตลาด ภายในไตรมาสแรกของปี 2548 ซึ่งคาดว่าจะเป็นพันธบัตรอายุระหว่าง 5-15 ปี อัตราดอกเบี้ยตลาดเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ตลาดพันธบัตรเอเชียมีความเข้มแข็ง แต่ละประเทศก็จะต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้ได้ดีก่อน ซึ่งสำหรับประเทศไทยกระทรวงการคลังกำลังจัดทำแผนพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย ฉบับที่ 2 อยู่ ซึ่งจะครอบคลุมในการพัฒนาในทุกๆ ด้าน โดยมีเป้าหมายให้มีการออกขายตราสารหนี้ให้มีมูลค่าใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในระยะเวลา 10 ปี และจึงผู้ระดมทุนและนักลงทุนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดตราสารหนี้ของไทยไม่น้อยกว่า 5% ของตลาดรวม

หมวดหมู่ของข่าว: 

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด