สถานการณ์พลังงานโลก วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 3

ประชาชาติธุรกิจ 10 ก.ค. 51

หมายเหตุ : รายงานชิ้นนี้คัดย่อมาจากบทความของ ดร.พลายพล คุ้มทรัพย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จะนำเสนอในการสัมมนาวิชาการประจำปีของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 31 ประจำปี 2551 วันพุธที่ 9 กรกฎาคม ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปัญหาเร่งด่วนในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อเกือบทุกประเทศในโลก คือ การที่ราคาน้ำมันได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา และ ดูเหมือนน้ำมันในปีนี้ (พ.ศ.2551) จะแพงสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ภาวะน้ำมันแพงทำให้ต้นทุนด้านพลังงาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขนส่ง) สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผลลูกโซ่ต่อไปยังราคาสินค้าและบริการต่างๆ นอกจากจะทำให้ ค่าครองชีพสูงขึ้นมากแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกด้วย

ผลกระทบเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการประท้วงของกลุ่ม ผู้ที่ต้องแบกรับภาระ เช่น คนขับรถบรรทุก และ ชาวประมงในหลายประเทศ รวมทั้งการเรียกร้องให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาแทรกแซงและให้ความช่วยเหลือ ปัญหาราคาน้ำมันแพงมากในช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 3 ของโลกก็ว่าได้

ดังนั้นโจทย์ในด้านพลังงานของโลก คือ มนุษย์มีทางเลือกอย่างไร และควรทำอะไร เพื่อให้มนุษย์สามารถมีพลังงานไว้ใช้อย่างเพียงพอในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป และมีแบบแผนการใช้พลังงานที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง

รายงานชิ้นนี้ จะพยายามตอบคำถามบางประการ ที่เกี่ยวข้องกับโจทย์ดังกล่าว โดยจะอธิบายสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำมันแพงขึ้นมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะให้ภาพของปริมาณเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เหลืออยู่ในโลก จะสำรวจทางเลือกเกี่ยวกับพลังงานทดแทนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

7 ปัจจัย ต้นเหตุน้ำมันแพง !

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มขยับตัวขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2547 โดยราคาน้ำมันดิบประเภท brent สูงขึ้นบาร์เรลละประมาณ $10 เป็นกว่า $38 ต่อบาร์เรล และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ราคาก็มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยตลอด จะมีลดลงบ้างในบางครั้งเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยความผันผวนของราคามีมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางเพิ่มมากกว่าทางลด

ในช่วงปลายปี 2550 ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงเกิน $100 ต่อบาร์เรล ซึ่งนอกจากจะเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรูปของราคาปีปัจจุบัน (nominal price) แล้ว ยังเป็นระดับที่สูงที่สุดในรูปของราคาที่แท้จริง (real price) คือ ราคาปีฐานซึ่งปรับภาวะเงินเฟ้อออกแล้วอีกด้วย (ราคาปีฐาน ณ ปี 2550 เคยสูงสุดเท่ากับ $93 ต่อบาร์เรลในปี 2523)

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ราคาน้ำมันก็ยังคง ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับกว่า $130 ต่อบาร์เรลในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายน 2551 มีบทความข้อเขียนจำนวนมากที่ได้วิเคราะห์และอธิบายสาเหตุของภาวะน้ำมันแพงดังกล่าว ส่วนใหญ่มีประเด็นที่เหมือนกันและสอดคล้องกัน ดังนี้

1)กำลังการผลิตส่วนเกิน (excessproduction capacity) ในตลาดน้ำมันดิบอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ประเทศ ผู้ผลิตน้ำมันหลายแห่งขาดแรงจูงใจในการขยายกำลังการผลิตในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำในช่วงทศวรรษ 1990 หน่วยงานพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานว่า ในเดือนกันยายน 2550 OPEC มีกำลังการผลิตส่วนเกินเพียง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ประมาณ 2% ของปริมาณการใช้น้ำมันของโลก) โดยประมาณ 80% ของส่วนเกินนี้อยู่ในซาอุดีอาระเบียเพียงประเทศเดียว

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ากำลังส่วนเกินในซาอุดีอาระเบียอยู่ในรูปของน้ำมันดิบประเภทหนัก (heavy crude) ซึ่งยากต่อการกลั่นออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ทำให้น้ำมันส่วนเกินนี้มีคุณค่าน้อยลงไปอีก สำหรับประเทศ ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม

OPEC นั้น หลายฝ่ายเชื่อว่าคงไม่มีกำลังการผลิต ส่วนเกินเหลืออยู่เลย การขยายกำลังการผลิตคงต้องใช้เวลาอีก 3-5 ปี ดังนั้น การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันส่วนหนึ่งจึงสะท้อนภาวะความเสี่ยงที่จะมีการขาดแคลนน้ำมันอันเกิดจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ต่ำมากนี้

2)การผลิตน้ำมันจากแหล่งใหม่ๆ ในโลก เริ่มมีต้นทุนที่สูงมากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ๆ ถูกค้นพบและใช้งานเป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังเหลืออยู่ก็จะเป็นแหล่งน้ำมันขนาดเล็ก หรือที่มีคุณภาพต่ำ หรือที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร/น้ำทะเลลึกๆ ซึ่งมีต้นทุนการสำรวจและการผลิตที่สูงมาก มีการวิเคราะห์ พบว่าในปัจจุบันต้นทุนการผลิตน้ำมันในปริมาณ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (คิดเป็น 5% ของปริมาณการผลิตของโลกในปัจจุบัน) มีต้นทุนการผลิตสูงถึง $70 ต่อบาร์เรล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ทรายน้ำมัน (tars sands) ในแคนาดา ซึ่งเริ่มผลิตออกมาแล้ว และมีต้นทุนการผลิตไม่ต่ำกว่า $60 ต่อบาร์เรล

3)ในประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่หลายราย การผลิตน้ำมันมีโอกาสหยุดชะงักได้ (supply disruption) เพราะเหตุจากความไม่สงบทางการเมือง สงคราม และภัยธรรมชาติ เหตุการณ์สำคัญที่บ่งชี้ถึงปัญหานี้ ได้แก่ การบุกอิรักของกองทัพสหรัฐในปี 2546 ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันของอิรักลดลงระดับหนึ่ง และความไม่สงบซึ่งยังคงเกิดขึ้นในประเทศหลังจากนั้น ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันของอิรักให้กลับไปสู่ระดับปกติ

ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับประเทศตะวันตกเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน (ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก) ก่อให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านและสหรัฐ โดยอิหร่านประกาศว่าจะใช้น้ำมันเป็นอาวุธเพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ และในปี 2551 ได้มีการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารอิหร่านและทหารสหรัฐในบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นทางผ่านสำคัญสำหรับการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลาง

พายุเฮอร์ริเคนในแถบอ่าวเม็กซิโกในเดือนกันยายน 2548 มีผลกระทบต่อแท่นผลิตน้ำมันของเม็กซิโก และโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของสหรัฐ มีผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นเป็น $3 ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 25 ปี

ผู้ก่อการร้ายในไนจีเรียคุกคามแหล่งผลิตน้ำมันหลายครั้ง ทำให้ประมาณการผลิตและส่งออกน้ำมันจากไนจีเรียลดลงประมาณ 500,000 บาร์เรลต่อวัน

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลเวเนซุเอลาและรัฐบาลสหรัฐ ทำให้การนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาของสหรัฐมีความเสี่ยงมากขึ้น

4)ในหลายประเทศที่ส่งออกน้ำมันได้ มีการผลิตน้ำมันในปริมาณที่ลดลงไป เพราะปริมาณสำรองเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น ในขณะเดียวกันความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของประชากรและเศรษฐกิจด้วย ทำให้หลายประเทศต้องลดการส่งออกลง เช่น อินโดนีเซีย เม็กซิโก นอร์เวย์ และอังกฤษ ในระหว่างปี 2005 ถึง 2006 การบริโภคน้ำมันภายในประเทศผู้ส่งออก 5 อันดับแรก คือ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย นอร์เวย์ อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 5.9 และมีปริมาณการส่งออกลดลงกว่าร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ หรือในกรณีของอินโดนีเซียที่รัฐบาลมีการอุดหนุนผู้บริโภคภายในประเทศ และกรณีของซาอุดีอาระเบียที่ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตร ขณะที่มาเลเซียอยู่ในระดับ 20 บาทต่อลิตร จึงทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะลดลงถึง 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในช่วง 10 ปีนี้ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ข่าวว่ารัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพิจารณาจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิก OPEC เพราะอินโดนีเซียจะไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้อีกต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้

5)นอกจากกำลังการผลิตส่วนเกินของน้ำมันดิบจะมีน้อย กำลังการกลั่นน้ำมัน ของโลกก็มีปัญหาคอขวด (refining bottlenecks) โดยมีส่วนเกินน้อยกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะเดียวกันตลาดน้ำมันมีแนวโน้มต้องการใช้น้ำมันชนิดเบาและสะอาดมากขึ้น จึงสร้างแรงกดดันให้โรงกลั่นน้ำมันต้องลงทุนปรับปรุงคุณภาพอีกด้วย ข้อจำกัดนี้จึงทำให้ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันมีราคาสูงขึ้นเพิ่มไปจากการเพิ่มของราคาน้ำมันดิบ และ refining margin (กำไรของโรงกลั่นน้ำมัน) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาโดยตลอด เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าสหรัฐซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกไม่ได้ก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน แห่งใหม่มาเลยตั้งแต่ทศวรรษ 1970

6)ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันระหว่างปี 2546 ถึงปี 2550 จะสูงขึ้นกว่า 3 เท่าตัวแล้ว แต่ความต้องการใช้น้ำมันของโลกก็ไม่ได้ลดลงเลย กลับยังคงเพิ่มขึ้นในอัตรา 3.55% ในปี 2548 และในอัตราที่ยังสูงกว่า 1% ใน ปีต่อๆ มา ปรากฏการณ์เช่นนี้แตกต่างจากที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตน้ำมันสองครั้งแรก (ปี 2516/17 และปี 2522/23) ซึ่งเราพบว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากทำให้ความต้องการน้ำมันลดลงในปีต่อมา ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ ค่อนข้างดี และดูเหมือนจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันแพงมากนัก จีนและอินเดียเป็นผู้ใช้พลังงานที่มีอิทธิพลต่อตลาดน้ำมันโลก

โดยในช่วงราคาน้ำมันแพงในระยะหลังนี้ มากกว่าสองในสามของความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลกมาจากจีนและอินเดียเท่านั้น ความต้องการใช้น้ำมันของจีนและอินเดียในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยปีละ 7.2% และ 4.0% ตามลำดับ ในขณะที่ความต้องการรวมของโลกขยายตัวเพียงปีละ 1.7% ตั้งแต่ปี 2548 จีนได้แซงหน้าญี่ปุ่น โดยกลายเป็นผู้ใช้และนำเข้าน้ำมันรายใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก (รองจากสหรัฐ)

7)กองทุนประเภท hedge funds หันไปลงทุนซื้อขายเก็งกำไรในตลาดน้ำมันล่วงหน้ามากขึ้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในระยะหลังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ เนื่องจากภาวะตลาดน้ำมันตามที่กล่าวมาแล้วชี้ให้เห็นว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้จึงเก็งกำไรโดยการซื้อน้ำมันไว้ล่วงหน้าเพื่อขายเอากำไรในอนาคต ส่งผลให้ราคาน้ำมันทั้งในตลาด spot และตลาดล่วงหน้าสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง

ราคาน้ำมันในอนาคตจะเป็นอย่างไร

ส่วนประเด็นคำถามที่ว่า "ราคาน้ำมันในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?" นั้น นักวิเคราะห์ของสถาบัน/องค์กร ส่วนใหญ่เห็นว่าราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูงเกิน $100 ต่อบาร์เรลต่อไป โดยหลายแห่งได้ปรับ ราคาเฉลี่ยสำหรับปี 2551 นี้ขึ้นไปจากเดิมแล้ว

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่า ข้อจำกัดในด้านการผลิตยังจะมีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะสำหรับประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC และกำลังการผลิตส่วนเกินใน OPEC คงจะอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงปี 2552 ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันของจีน อินเดีย และประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง ดังนั้น หลายสำนักจึงพยากรณ์ราคาน้ำมันในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs คาดการณ์ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสมากขึ้นที่จะไต่ระดับขึ้นไปอยู่ระหว่างบาร์เรลละ $150 ถึง $200 ในช่วง 6 ถึง 24 เดือนข้างหน้า

Matthew Simmons ให้สัมภาษณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นไปถึงระดับ $300 ต่อบาร์เรล ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยให้เหตุผลว่า การผลิตน้ำมันอาจถึงระดับสูงสุด (peak) แล้ว ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันของโลกไม่ได้ลดลงมากนัก

นักวิเคราะห์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐมีความเห็นตรงกันกับผู้อื่นว่า ราคาน้ำมันจะยังสูงจนถึงปีหน้า แต่ใน 10 ปีข้างหน้า เขาเชื่อว่าราคาน่าจะลดลงมาบ้าง เพราะการผลิตน้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากแหล่งทั้งในและนอก OPEC และในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากได้กระตุ้นให้มีการผลิตพลังงานนอกรูปแบบ (unconven tional) เพื่อทดแทนน้ำมันดิบ อันได้แก่ ทรายน้ำมันของแคนาดา biofuels ในบราซิลและประเทศอื่นๆ รวมทั้งการผลิตน้ำมันเหลวจากก๊าซธรรมชาติ

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด