แฉเล่ห์มาเลเซีย เลี่ยงกติกาอาฟตา

เตรียมขึ้นภาษีขาย สกัดรถยนต์จากไทย

กระทรวงพาณิชย์แฉพฤติกรรมรัฐบาลมาเลเซีย ไม่จริงใจปฏิบัติตามข้อตกลงเขตการค้า เสรีอาเซียน หรือ อาฟตา แม้ยอมลดภาษีนำเข้ารถยนต์ แต่กลับขั้นภาษีการขาย และ สรรพสามิต พร้อมทุ่มงบอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศตัวเอง

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ภายในเดือนธันวาคม 2547 นี้ รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมที่จะประกาศนโยบายปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตและภาษีขายรถยนต์ภายในประ เทศ เพื่อรองรับการปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์เหลือ 20% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป และลดเหลือระหว่างร้อยละ 0-5 ในปี 2008 ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอา เซียน(อาฟตา) ทั้งนี้เพื่อชดเชยรายได้ที่รัฐบาลต้องสูญเสียไปจากกรณีการลดภาษีนำเข้ารถ ยนต์ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน

นอกจากนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังได้ดึงบริษัทรถยนต์ข้ามชาติเข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถ ยนต์ภายในประเทศซึ่งในขณะนี้บริษัทบีเอ็มดับบลิว ได้เข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์เรียบ ร้อยแล้ว และคาดว่าจะมีบริษัทรถยนต์อื่นๆ เข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในมาเลเซียใน อนาคตอันใกล้นี้อีก

"แม้ว่ามาเลเซียจะลดภาษีรถยนต์ให้ไทยตามข้อตกลงอาฟตา แต่รถยนต์ที่ส่งออกจาก ไทยก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการลดภาษีดังกล่าวเพราะรัฐบาลมาเลย์เตรียมปรับเพิ่มภา ษีขาย ภาษีสรรพสามิต โดยในปีที่ผ่านมามาเลเซียได้บังคับเก็บภาษีสรรพสามิตตามขนาด ของเครื่องยนต์รถนำเข้าในอัตราระหว่าง 60-100% ไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รถยนต์ที่นำเข้า มาขายภายในประเทศมีราคาสูงไม่จูงใจให้ผู้บริโภคซื้อซึ่งอาจเป็นอุปสรรคกับรถยนต์จากต่าง ประเทศ ขณะที่รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทรถยนต์แห่งชาติซึ่งมีราคาถูกอยู่แล้วพัฒนารูปแบบและ เครื่องยนต์ที่ได้มาตรฐานหรือดีกว่ารถยนต์จากญี่ปุ่นหรือยุโรป ซึ่งถือเป็นการปกป้องอุตสาห กรรมรถยนต์ภายในประเทศ"แหล่งข่าวกล่าว

ด้านผู้เชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ทำนายเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เซียนจะเป็น ตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดลำดับที่ 5 ของโลกในปี 2005 อย่างไรก็ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศอา เซียนจะปฏิบัติตามข้อตกลงอาฟตาเร็วมากน้อยเพียงใดซึ่งในปัจจุบัน มีเพียงประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ปฏิบัติตามข้อตกลงของอาฟตาว่าด้วยอากรขาเข้ารถยนต์ ในขณะ ที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ ยังคงชะลอการลดอากรขาเข้ารถยนต์ตามข้อตกลงอาฟตา

15 ธันวาคม 2547

หมวดหมู่ของข่าว: 

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด