ทั่วโลกร่วมทวงคืนอำนาจประชาชนสร้างความเป็นธรรมแก้วิกฤตโลกร้อน

โดย  คณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม

โคเปนเฮเกน, 16 ธันวาคม: ภาคประชาชนทั่วโลกร่วมเดินขบวนทวงคืนอำนาจแก่ประชาชนเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ถูกรัฐบาลเดนมาร์กใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน ที่มีตัวแทนจากภาคประชาสังคมไทยร่วมเดินขบวนด้วย องค์กรเอ็นจีโอหลายแห่งทำหนังสือประท้วงความรุนแรงที่เกิดขึ้น การจับกุมนักกิจกรรมไปหลายร้อยคน รวมถึงการปิดกั้นการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงข้อมูลของภาคประชาชนในการร่วมสังเกตการณ์ประชุมโลกร้อนครั้งประวัติศาสตร์ของภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในกรุงโคเปนเฮเกน

ละวิกฤติการณ์โลกร้อนจากทุกมุมโลกและชาวเดนมาร์กจำนวนมากได้รวมตัวกันอย่างคับคั่งหลายพันคนท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ หิมะโปรยลงมาเป็นระยะ ๆ ตลอดวัน และอุณหภูมิประมาณศูนย์องค์ศาเซลเซียส และร่วมเดินขบวนครั้งประวัติศาสตร์เป็นระยะทางยาวมุ่งสู่ศูนย์ประชุมเบลลาเซ็นเตอร์ในกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งเป็นเวทีประชุมของภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 15 (COP15) และบรรดาผู้นำจากหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งของสหรัฐอเมริกาและของไทยจะเดินทางมาร่วมด้วยเป็นครั้งแรกในวันนี้ (17 ธ.ค. 52) เพื่อ ?ทวงคืนอำนาจแก่ประชาชน? (Reclaim Power demonstration)

การรวมตัวของภาคประชาชนทั่วโลกครั้งนี้เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่สุดในการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาโลกร้อนภายใต้การนำของเครือข่ายระหว่างประเทศสองเครือข่ายใหญ่ที่รณรงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการรับมือกับวิกฤตการณ์โลกร้อนคือ Climate Justice Now (CJN) และ Climate Justice Action (CJA) ที่ก่อตั้งขึ้นเนื่องจากเห็นว่า การเจรจาเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนของบรรดาผู้แทนรัฐบาลนานาประเทศไม่ได้มุ่งหน้าไปสู่ความจริงจังในการแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อนอย่างแท้จริง โดยยอมให้ประเทศร่ำรวยและกลุ่มทุนขนาดใหญ่มีอิทธิพลครอบงำการเจรจา ที่ต้องการชักนำให้การเจรจาที่ควรจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างแท้จริง กลายเป็นการเจรจาเพื่อต่อรองรักษาผลประโยชน์ทางการค้าและการลงทุนของกลุ่มประเทศร่ำรวย ขณะนี้การเจรจากำลังผลักดันไปสู่การแก้ปัญหาผิด ๆ และไม่มีความจริงจังกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและประชาชนทั่วโลก ไม่ต่างกับการเจรจาการค้าการลงทุนที่เกิดมาแล้วหลายเวที

รัฐบาลเดนมาร์กได้เกณฑ์กำลังตำรวจปราบจลาจลเพิ่มเติมจากเยอรมนีและสวีเดนหลายพันคนมาเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจของเดนมาร์กเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนอย่างเข้มงวดตลอดเวลาที่การประชุมเริ่มขึ้น รถตำรวจพร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่หลายพันคนได้ตามคุมการเดินเท้าของประชาชนมาตลอดเส้นทาง แต่ไม่สามารถแยกสลายขบวนในระหว่างทางได้เนื่องจากกลุ่มผู้เดินขบวนคล้องแขนอย่างเหนียวแน่นเป็นแนวป้องกันการแทรกแซงของตำรวจทั้งด้านซ้ายและขวาของขบวน แต่ในที่สุดเมื่อประชาชนเคลื่อนขบวนเข้าใกล้ศูนย์ประชุมและพยายามเข้าไปจัดตั้งเวที ?สมัชชาประชาชน? ขึ้นภายในศูนย์ประชุม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้กำลังจำนวนมากพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งกระบอง แก๊สน้ำตา สเปร์พริกไทย และสุนัขตำรวจอีกหลายตัวเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระบองนับสิบราย ได้บาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยอีกหลายสิบคน และจับกุมพร้อมใส่กุญแจมือนักกิจกรรมไปประมาณ 230 คน ที่อยู่ด้านหน้าของขบวน หลังจากนั้นใช้รถขนาดใหญ่ขับต้อนผู้ชุมนุมออกจากถนน ทำให้ผู้ชุมนุมจำนวนแตกสลายออกจากกัน

ขณะเดียวกันมีผู้แทนเจรจาของบางประเทศและตัวแทนเอ็นจีโอกว่าสองร้อยคนในศูนย์ประชุมที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำรุนแรงของตำรวจพยายามจะเดินออกมาสมทบด้านนอก แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้กระบองตีเพื่อกันไม่ให้มีใครออกมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ด้านนอก

นอกจากนี้รัฐบาลยังนำกำลังตำรวจปิดทางเข้าบางส่วนของสถานที่จัดเวทีคู่ขนานของภาคประชาชนที่คลิมาฟอรั่ม (Klima Forum) ที่ตั้งอยู่ใกล้ชุมทางรถไฟและรถประจำทางของเมืองด้วย รวมไปถึงการปิดการเดินรถไฟทั้งหมดในช่วงบ่าย เพื่อตัดเส้นทางการไปรวมตัวของภาคประชาชน พร้อมกับมีรถตำรวจตระเวนไปทั่วเมืองอยู่ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเข้มงวดมากขึ้นในวันนี้เนื่องจากมีผู้นำประเทศหลายประเทศเดินทางมาร่วมประชุมรวมถึงผู้นำสหรัฐอเมริกาและของไทยด้วย

อย่างไรก็ดีผู้ชุมนุมที่เหลืออีกสองพันกว่าคนที่ถูกตำรวจปิดล้อมไว้ใกล้ศูนย์ประชุมเบลลาได้พยายามประกาศจัดตั้ง ?สมัชาชาประชาชน? เพื่อทวงคืนอำนาจแก่ประชาชนได้สำเร็จ จากนั้นจึงเคลื่อนขบวนกลับมาในเมือง โดยมีกำลังตำรวจจำนวนมากประกบมาตลอดทางเพื่อกันไม่ให้ประชาชนเข้าสมทบได้

ยิ่งกว่านั้น เมื่อคืนวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งประชาชนจากหลายประเทศกว่าหนึ่งแสนคนได้ออกมาเดินขบวนและมุ่งหน้าไปที่ศูนย์ประชุมเบลลาเซ็นเตอร์ ตำรวจได้ติดตามจับกุมนักกิจกรรมภาคประชาชนไปเกือบ 1000 คน ในคืนวันที่ 14 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าไปจับกุมนักกิจกรรมไปอีกนับร้อยคนในมาพบปะสังสรรค์และฟังการบรรยายจากสื่อมวลชนชาวแคนาดาชื่อดัง นางนาโอมิ ไคลน์ ตามด้วยบุกเข้าจับกุมนายทาดซิโอ มูลเลอร์ ผู้ประสานงานคนสำคัญของ Climate Justice Action ในเวลาต่อมา

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ควบคุมการมีส่วนร่วมของตัวแทนภาคประชาสังคมจากทั่วโลกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีการประชุมและควบคุมเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. เป็นต้นมา โดยลดจำนวนผู้ร่วมสังเกตการณ์ประชุมจากภาคประชาชนลงให้เหลือเพียงร้อยละ 35 จากที่ลงทะเบียนไปอย่างถูกต้องหลายพันคนให้เหลือเพียง 1000 คน และในวันนี้ (17 ธ.ค) จะลดลงให้เหลือเพียง 90 เท่านั้น ทั้งนี้ศูนย์ประชุมเบลลาสามารถรองรับผู้ร่วมประชุมได้ถึง 15,000 คน แต่ทางฝ่ายยูเอ็นที่ดูแลสถานที่อ้างเหตุผลการลดจำนวนเอ็นจีโอลงว่า สถานที่ประชุมรองรับคนจำนวนมากไม่ได้ จำเป็นต้องลดจำนวนคนลง และเพื่อรักษาความปลอดภัยของสถานที่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน รวมไปถึงการเตรียมตัวรับมือการประชุมครั้งนี้ของรัฐบาลเดนมาร์กก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับระบอบประชาธิปไตยในเดนมาร์กอย่างรุนแรง และทำให้ประเทศนี้ไม่หลงเหลือความน่าเชื่อในเรื่องนี้อีกต่อไป

ความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจรจาต่อรองที่กลุ่มชาติร่ำรวยและกลุ่มที่เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าของตัวเองพิทักษ์ประโยชน์ในการค้าการลงทุนของตนอย่างเหนียวแน่น แม้กระทั่งประธานการประชุมภาคีครั้งนี้คือ นางคอนนี้ เฮดการ์ด ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงานและภูมิอากาศของเดนมาร์กไม่อาจยอมรับการกระทำของรัฐบาลตัวเองได้ประกาศลาออกจากการเป็นประธาน COP 15 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่เกิดการสลายการชุมนุมขึ้น

คณะทำงานเพื่อโลกเย็นและเป็นธรรม และตัวแทนเครือข่ายชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมประท้วงในโคเปนเฮเกนครั้งนี้ขอประณามการกระทำรุนแรงที่เกิดขึ้นกับที่มาชุมนุมกันอย่างสันติและเพื่อร่วมผลักดันให้มีการแก้ไขวิกฤตการณ์โลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังจะเลวร้ายลงให้ก้าวไปในทางที่ถูกต้อง ขอให้รัฐบาลเดนมาร์กปล่อยตัวนักกิจกรรมที่ถูกคุมขังอยู่โดยเร็วและปราศจากเงื่อนไขใด ๆ และขอเรียกร้องให้ผู้นำประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศร่ำรวยยอมรับความกระทำของตนที่เป็นตัวการสำคัญในการก่อปัญหาโลกร้อนและเดินทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วนจริงจังในประเทศของตนเอง

คณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม ซึ่งรวมตัวกันขึ้นมาเพื่อต้นปี พ.ศ. 2551 มีความเห็นว่า การเจรจาของภาคีสมาชิกอนุสัญญาฯ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมของภาคีสมาชิกอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 13 ที่กรุงบาหลี อินโดนีเซีย และครั้งที่ 14 ที่เมืองพอซนัน ประเทศโปแลนด์ และล่าสุดนี้ที่กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก มีแนวโน้มและนัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นชัดว่า แนวทางการแก้ปัญหาที่กำลังจะสรุปออกมาจะยิ่งวิกฤตโลกร้อนไปสู่หายนะให้เร็วมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้กลไกตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญด้วยวิธีการซื้อขายเครดิตคาร์บอนโดยประเทศร่ำรวย ความพยายามที่ต้องการนำป่าไม้และที่ดินเพื่อการเกษตรของประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลไกตลาดซื้อขายคาร์บอน รวมไปถึงการหวนคืนไปหาพลังงานนิวเคลียร์ที่อ้างว่าเพื่อปัญหาโลกร้อน การสนับสนุนให้มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ต่อไป และการพยายามทำให้คนเชื่อว่า พลังงานจากถ่านหินเป็นพลังงานสะอาด เป็นต้น หากปล่อยให้มีการแก้ไขปัญหาตามแนวทางนี้ ไม่เพียงแต่ประชาชน โดยเฉพาะชุมชนเกษตรรายเล็ก ชนเผ่าต่าง ๆ ชาวประมง และคนยากจนอีกจำนวนมากจะเดือดร้อนขึ้นเท่านั้น ภัยพิบัติจากโลกร้อนจะเกิดเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้นอย่างไม่สามารถย้อนเวลามาแก้ไขได้อีกเลย

ภาพจาก http://www.flickr.com/groups/climatecampcopenhagen2009/pool

หมวดหมู่ของเนื้อหาในเว็บ: