21 Oct 2003
นงนุช สิงหเดชะ

<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ในขณะนี้ประเทศไทยรวม ทั้งประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย กำลังชื่นชม และกระตือรือร้นในการเปิดเขตการค้าเสรี กับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะหลังจากที่การเจรจาการค้ารอบใหม่ (รอบโดฮา) ที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก ขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ล้มเหลว ซึ่งในการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ก็คงจะมีหลายประเทศใช้เวทีนี้ หารือกันเพื่อเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างกัน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">เขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ (Free Trade Area) หมายถึงการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดภาษีศุลกากรระหว่างกัน ภายในกลุ่มลง ให้เหลือน้อยที่สุด หรือเป็น 0% <span lang="TH">และเก็บภาษีสูงกับประเทศ ที่อยู่ในนอกกลุ่ม ที่ไม่ได้เซ็นสัญญาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ทั้งนี้ลักษณะของเขตการค้าเสรี จะมีลักษณะเป็นการเจรจาการค้าในแบบ "ทวิภาคี" หรือรายประเทศ ไม่ใช่ระบบพหุภาคี(คราวละหลายๆ ประเทศ)</span></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">รัฐบาลปัจจุบันของไทยมี แนวโน้มและท่าทีชัดเจนในการให้ความนิยมกับการค้าในรูปแบบทวิภาคี เพราะสามารถเจรจาตกลง เปิดตลาดได้รวดเร็ว เห็นผลงานได้รวดเร็ว ทันใจกว่าการค้าระบบพหุภาคี ภายใต้ดับเบิลยูทีโอ (ซึ่งมีสมาชิก 146 ประเทศ) แต่สิ่งที่พึงตระหนักคือการค้าในรูปแบบทวิภาคีนั้น ส่วนใหญ่แล้วประเทศกำลังพัฒนา หรือยากจนมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะเปรียบเหมือนกับคนตัวเล็ก ต้องสู้ตัวต่อตัวกับคนตัวใหญ่ ไม่เหมือนกับการเจรจาในกรอบดับเบิลยูทีโอ ที่ประเทศกำลังพัฒนา จะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อต่อรองกับประเทศที่รวยกว่า ทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น เหมือนหวายแต่ละเส้นรวมตัวกันเป็นมัด ดังเช่นจะได้เห็นชัยชนะของประเทศกำลังพัฒนาในเวทีดับเบิลยูทีโอ ที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">การเจรจาในกรอบทวิภาคี ยังมีความโปร่งใสน้อยกว่าระบบพหุภาคี เพราะระบบทวิภาคี จะเปิดโอกาสให้การเมือง เข้าไปแทรกแซงได้ง่ายกว่า และก็เปิดให้ประเทศคู่เจรจา ซึ่งใหญ่กว่าสามารถต่อรอง และตั้งเงื่อนไขบีบบังคับ เอาเปรียบประเทศเล็กได้ง่ายกว่า การเจรจาในเวทีดับเบิลยูทีโอ นอกจากนี้การเจรจาทวิภาคี ก็ทำให้สิ้นเปลืองบุคลากรมาก และอาจทำให้เกิดความไม่รอบคอบด้วย ไม่เชื่อก็ให้ไปถามเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ดู เพราะขณะนี้เหนื่อยกันมาก เพราะกำลังคนไม่พอ เนื่องจากการเจรจารายประเทศนั้น ต้องจัดทำเอกสารเฉพาะรายประเทศไป ผิดกับการเจรจาในดับเบิลยูทีโอ ที่ใช้เอกสารเพียงชุดเดียวก็สามารถทำข้อตกลงกับ 146 ประเทศได้รวดเดียว</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ในกรณีประเทศไทยนั้น รัฐบาลนี้ได้เซ็นสัญญาตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับ 2 ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดไปแล้ว คือ จีนและอินเดีย โดยรัฐบาลต่างกล่าวอ้างว่าจะสามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรได้มาก เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้มาก อย่างไรก็ตามในขณะนี้นักวิชาการเป็นห่วงว่า ในกรณีของจีนนั้น ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะต้นทุนถูกกว่าไทย อาจจะเป็นการเปิดช่องให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยมากกว่าเดิม จนทำให้เกษตรกรไทยเดือดร้อน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ผู้สันทัดเรื่องจีนยัง บอกอีกว่า การเปิดเสรีไม่ทำให้จีนกระเทือนเลย เพราะในจีนนั้น ระบบการกระจายสินค้า ยังไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ดังนั้นแม้จีนจะนำเข้าสินค้าจากไทยไปจำหน่าย ก็อาจประสบปัญหาเรื่องการจัดจำหน่าย และกระจายสินค้า ดังนั้นช่องทางตลาดจึงจำกัด ผิดกับไทยซึ่งมีระบบการจัดจำหน่ายดีมาก เมื่อสินค้าจีนเข้ามา ก็มีการกระจายสินค้าได้ทั่วถึงเกือบทั่วประเทศ โอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งคนซื้อจึงมีมากกว่า</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ส่วนกรณีที่ไทยจะเปิด เขตการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกานั้น ก็ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงเช่นกัน ว่าไทยจะเสียเปรียบ ทั้งนี้ไทยได้ลงนามกรอบความตกลง ด้านการค้าการลงทุนกับสหรัฐไปแล้ว เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เพื่อนำไปสู่การเปิดเขตการค้าเสรี และอาจจะเริ่มต้นเจรจากันได้ในเดือนเมษายน 2547 เป็นต้นไป โดยระหว่างนี้เท่าที่ทราบ สหรัฐได้ถือโอกาสกดดัน ให้ไทยทำตามที่ต้องการเพื่อแลกการเปิดเขตการค้าเสรี</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ภายใต้เขตการค้าเสรี ซึ่งต้องมีการลดภาษีระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุด หรือเหลือศูนย์นั้น เทียบกันแล้วระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่เป็นมหาอำนาจ หรือเทียบกรณีไทยกับสหรัฐนั้น ไม่ว่าจะเปิดเสรีในภาคเกษตร หรืออุตสาหกรรม ไทยก็เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะผู้ที่ต้องปรับตัวอย่างรุนแรง และได้รับผลกระทบสูงคือไทย เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐเก็บภาษีขาเข้า ทั้งสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมต่ำอยู่แล้ว เช่นสินค้าอุตสาหกรรมนั้นเก็บเพียง 3-4 เปอร์เซ็นต์ แต่กรณีไทยนั้นภาษีทั้งสองภาคยังสูงอยู่มาก เช่นสินค้าเกษตรบางตัวนั้น ไทยยังเก็บภาษีขาเข้าสูงถึง 100 <span lang="TH">เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากปรับตัวไม่ได้ก็จะเสี่ยงต่อการล่มสลาย</span></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">นอกจากนี้สหรัฐยังมี เงินอุดหนุน ให้กับเกษตรกรของตนเองสูงมาก ซึ่งล่าสุดบุชก็เซ็นไปแล้ว 1.9 แสนล้านดอลลาร์ จึงทำให้เกษตรกรสหรัฐได้เปรียบเกษตรกรไทยมหาศาล ดัมพ์ตลาดไทยได้สบาย ส่วนรัฐบาลไทย คงไม่มีงบฯมหาศาลไปหนุนหลังเกษตรกรได้ ซึ่งในส่วนของปัญหาการอุดหนุนสินค้าเกษตรนี้ ในกรอบของทวิภาคี ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถเรียกร้องประเทศรวยให้ลดการอุดหนุน ต้องใช้เวทีดับเบิลยูทีโอเท่านั้น</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">นอกจากนี้แม้จะเปิดเขต การค้าเสรี แต่สิ่งที่ประเทศยักษ์ใหญ่ถนัดคือ การเปิดประตูใหญ่ แต่สร้างประตูเล็ก จำนวนมากขึ้นมาสกัดกั้น กล่าวคือ เปิดประตูใหญ่ให้ คือเปิดให้ส่งสินค้าเข้าไปขายได้เสรี แต่ประเทศยักษ์ใหญ่จะเชี่ยวชาญในการตั้งกลไกย่อยๆ ขึ้นมากีดกัน ในหลายรูปแบบเมื่อสินค้าเข้าไปถึงแล้ว</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">เขตการค้าเสรีจะทำร้าย ประเทศเพื่อนบ้าน หรือระหว่างภูมิภาคด้วยกัน เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติให้สิทธิพิเศษ กับประเทศใดประเทศหนึ่ง และทำร้ายอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เซ็นสัญญาเขตการค้าเสรี ขณะที่ระบบการค้าพหุภาคีภายใต้ดับเบิลยูทีโอนั้น มุ่งทำให้ทั้งโลกก้าวเดินไปพร้อมกัน มีการเลือกปฏิบัติน้อยที่สุด ภายใต้เป้าหมายสูงสุด คือต้องไม่มีใครถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง ซึ่งขณะนี้มีจำนวนประเทศค่อนโลกแล้ว ที่เข้าเป็นสมาชิกดับเบิลยูทีโอ</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">เขตการค้าเสรีดีจริง หรือ กรณีของประเทศเม็กซิโก ซึ่งเปิดเขตการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า-NAFTA) <span lang="TH">คือคำตอบที่ "คลาสสิค" ที่สุด ที่จะชี้ว่าเขตค้าเสรีเป็น</span> "นรกหรือสวรรค์" ของประเทศกำลังพัฒนา เม็กซิโกได้ตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ เมื่อปี ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) <span lang="TH">ใน สมัยที่นายคาร์ลอส ซาลินาส จากพรรคพีอาร์ไอ เป็นประธานาธิบดี แต่ความล่มสลายของชนชั้นกลาง และเกษตรกร ชนชั้นแรงงาน อันเกิดจากนาฟต้า ทำให้พรรคพีอาร์ไอ ซึ่งได้เป็นรัฐบาลปกครองประเทศมายาวนานถึง </span>71 ปี ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 ให้กับพรรคพีเอเอ็น ของนายบีเซนเต้ ฟอกซ์ เกซาดา ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">รัฐบาลเม็กซิโก ภายใต้พรรคพีอาร์ไอ ให้คำมั่นสัญญาสวยหรูกับชาวเม็กซิโกว่า การเปิดเขตการค้าเสรี จะทำให้ชาวเม็กซิโก มีงานทำมากขึ้น มีรายได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลาง เกษตรกร และคนยากจน แต่ปรากฏว่า นอกจากไม่สร้างงานเพิ่มแล้ว สถานการณ์ยังเลวร้ายกว่าเดิม ผู้พ่ายแพ้และตกเป็นเหยื่อ คือคนชั้นกลาง และเกษตรกรนั่นเอง ส่วนผู้ได้ประโยชน์สูงสุดคือคนรวย โดยในปี ค.ศ.1994 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดนาฟต้า นั้น จำนวนคนชั้นกลางได้ลดลง คนจนเพิ่มขึ้นมหาศาล จำนวนผู้อพยพชาวเม็กซิกันที่หลั่งไหลเข้ามาหางานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น โดยระหว่าง ค.ศ.1990-2000 <span lang="TH">จำนวนชาวเม็กซิกันในสหรัฐเพิ่มขึ้น </span>80 เปอร์เซ็นต์ ทุกปีจะมีชาวเม็กซิกันหลั่งไหลเข้าไปสหรัฐประมาณ 5 แสนคน มีชาวเม็กซิกันอย่างน้อย 1,600 คนตายระหว่างการพยายามลักลอบเข้าไปทำงานในสหรัฐ</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ไม่เพียงแต่ชนชั้นล่าง คนยากจนไร้การศึกษาเท่านั้น ที่ต้องดิ้นรนไปขุดทองในสหรัฐ ที่น่าตกใจคือคนชั้นกลาง และมีการศึกษาสูงพอสมควร ก็อพยพไปทำงานในสหรัฐด้วย ผลเสียคือรัฐบาลเม็กซิโกลงทุนด้านการศึกษาสูญเปล่า เพราะคนเม็กซิกันกลับนำความรู้ไปสร้างประโยชน์ให้กับสหรัฐ รัฐบาลเม็กซิโกสัญญากับประชาชนว่า เมื่อสหรัฐลดภาษีสินค้าเกษตรลง และให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน และเทคนิค จะทำให้ฟาร์มขนาดเล็ก สามารถเพิ่มผลผลิต และเพิ่มการแข่งขันได้ แต่หลังจากมีการเซ็นสัญญานาฟต้าแล้ว พรมก็ถูกดึงออกจากใต้เท้าของชาวนา เงินช่วยเหลือเกษตรกรที่รัฐบาลสัญญาไว้ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ลดเหลือเพียง 500 <span lang="TH">ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐก็ให้เงินอุดหนุนเกษตรกรสหรัฐมหาศาลในการส่งออก สินค้าไปขายยังเม็กซิโก โดยเกษตรกรสหรัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าเกษตรกรเม็กซิโก </span>7.5-12 เท่า ผลก็คือเกษตรกรเม็กซิโกน้ำตาตก</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ดังนั้นในขณะที่นายคา ร์ลอส อดีตประธานาธิบดีเม็กซิโก กำลังกล่าวสุนทรพจน์สวยหรู ที่วอชิงตันให้กับบรรดานายทุน ล็อบบี้ยิสต์ ฟังว่านาฟต้าประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ทำให้มีการหมุนเวียนทางการค้ามหาศาลระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโกนั้น ในวันถัดมาเกษตรกรเม็กซิโกที่โกรธแค้นก็ได้พากันไปบุกประตูสภาผู้แทนราษฎร ของเม็กซิโก กล่าวประณามนาฟต้า และเรียกร้องให้มีการทบทวนข้อตกลง จากนั้นก็เกิดการประท้วงขนานใหญ่ทั่วประเทศจากทั้งครู พนักงานไฟฟ้า-ประปา (ที่ต้องถูกแปรรูป) นายคาร์ลอส ถูกบันทึกว่า เป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเม็กซิโก<o:p></o:p></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ทีมงานกำหนดนโยบาย เศรษฐกิจของพรรคพีอาร์ไอ ล้วนเป็นคนผู้สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐ และก็ถูกรัฐบาล และนายทุนจากวอชิงตันครอบงำ ดังนั้นการกำหนดนโยบาย จึงลืมนึกถึงมิติด้านสังคม ไม่มีมาตรการช่วยเหลือชนชั้นแรงงาน ไม่มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม มุ่งปกป้องนักลงทุน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ดังนั้นหากประเทศไทย คิดจะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ และประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งกว่า ก็น่าจะไปศึกษาบทเรียน จากเม็กซิโกให้ถ่องแท้ เพื่อที่เกษตรกร คนชั้นกลาง จะได้ไม่ซ้ำรอยชะตากรรมเดียวกับเม็กซิโก</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><font color="#6f6f6f"><strong>ที่มา : มติชนรายวัน วันที่ 21 <span lang="TH">ตุลาคม </span>2546หน้า 6</strong></font></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">เขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ (Free Trade Area) หมายถึงการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดภาษีศุลกากรระหว่างกัน ภายในกลุ่มลง ให้เหลือน้อยที่สุด หรือเป็น 0% <span lang="TH">และเก็บภาษีสูงกับประเทศ ที่อยู่ในนอกกลุ่ม ที่ไม่ได้เซ็นสัญญาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ทั้งนี้ลักษณะของเขตการค้าเสรี จะมีลักษณะเป็นการเจรจาการค้าในแบบ "ทวิภาคี" หรือรายประเทศ ไม่ใช่ระบบพหุภาคี(คราวละหลายๆ ประเทศ)</span></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">รัฐบาลปัจจุบันของไทยมี แนวโน้มและท่าทีชัดเจนในการให้ความนิยมกับการค้าในรูปแบบทวิภาคี เพราะสามารถเจรจาตกลง เปิดตลาดได้รวดเร็ว เห็นผลงานได้รวดเร็ว ทันใจกว่าการค้าระบบพหุภาคี ภายใต้ดับเบิลยูทีโอ (ซึ่งมีสมาชิก 146 ประเทศ) แต่สิ่งที่พึงตระหนักคือการค้าในรูปแบบทวิภาคีนั้น ส่วนใหญ่แล้วประเทศกำลังพัฒนา หรือยากจนมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะเปรียบเหมือนกับคนตัวเล็ก ต้องสู้ตัวต่อตัวกับคนตัวใหญ่ ไม่เหมือนกับการเจรจาในกรอบดับเบิลยูทีโอ ที่ประเทศกำลังพัฒนา จะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อต่อรองกับประเทศที่รวยกว่า ทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น เหมือนหวายแต่ละเส้นรวมตัวกันเป็นมัด ดังเช่นจะได้เห็นชัยชนะของประเทศกำลังพัฒนาในเวทีดับเบิลยูทีโอ ที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">การเจรจาในกรอบทวิภาคี ยังมีความโปร่งใสน้อยกว่าระบบพหุภาคี เพราะระบบทวิภาคี จะเปิดโอกาสให้การเมือง เข้าไปแทรกแซงได้ง่ายกว่า และก็เปิดให้ประเทศคู่เจรจา ซึ่งใหญ่กว่าสามารถต่อรอง และตั้งเงื่อนไขบีบบังคับ เอาเปรียบประเทศเล็กได้ง่ายกว่า การเจรจาในเวทีดับเบิลยูทีโอ นอกจากนี้การเจรจาทวิภาคี ก็ทำให้สิ้นเปลืองบุคลากรมาก และอาจทำให้เกิดความไม่รอบคอบด้วย ไม่เชื่อก็ให้ไปถามเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ดู เพราะขณะนี้เหนื่อยกันมาก เพราะกำลังคนไม่พอ เนื่องจากการเจรจารายประเทศนั้น ต้องจัดทำเอกสารเฉพาะรายประเทศไป ผิดกับการเจรจาในดับเบิลยูทีโอ ที่ใช้เอกสารเพียงชุดเดียวก็สามารถทำข้อตกลงกับ 146 ประเทศได้รวดเดียว</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ในกรณีประเทศไทยนั้น รัฐบาลนี้ได้เซ็นสัญญาตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับ 2 ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดไปแล้ว คือ จีนและอินเดีย โดยรัฐบาลต่างกล่าวอ้างว่าจะสามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรได้มาก เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้มาก อย่างไรก็ตามในขณะนี้นักวิชาการเป็นห่วงว่า ในกรณีของจีนนั้น ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะต้นทุนถูกกว่าไทย อาจจะเป็นการเปิดช่องให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยมากกว่าเดิม จนทำให้เกษตรกรไทยเดือดร้อน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ผู้สันทัดเรื่องจีนยัง บอกอีกว่า การเปิดเสรีไม่ทำให้จีนกระเทือนเลย เพราะในจีนนั้น ระบบการกระจายสินค้า ยังไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ดังนั้นแม้จีนจะนำเข้าสินค้าจากไทยไปจำหน่าย ก็อาจประสบปัญหาเรื่องการจัดจำหน่าย และกระจายสินค้า ดังนั้นช่องทางตลาดจึงจำกัด ผิดกับไทยซึ่งมีระบบการจัดจำหน่ายดีมาก เมื่อสินค้าจีนเข้ามา ก็มีการกระจายสินค้าได้ทั่วถึงเกือบทั่วประเทศ โอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งคนซื้อจึงมีมากกว่า</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ส่วนกรณีที่ไทยจะเปิด เขตการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกานั้น ก็ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงเช่นกัน ว่าไทยจะเสียเปรียบ ทั้งนี้ไทยได้ลงนามกรอบความตกลง ด้านการค้าการลงทุนกับสหรัฐไปแล้ว เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เพื่อนำไปสู่การเปิดเขตการค้าเสรี และอาจจะเริ่มต้นเจรจากันได้ในเดือนเมษายน 2547 เป็นต้นไป โดยระหว่างนี้เท่าที่ทราบ สหรัฐได้ถือโอกาสกดดัน ให้ไทยทำตามที่ต้องการเพื่อแลกการเปิดเขตการค้าเสรี</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ภายใต้เขตการค้าเสรี ซึ่งต้องมีการลดภาษีระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุด หรือเหลือศูนย์นั้น เทียบกันแล้วระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่เป็นมหาอำนาจ หรือเทียบกรณีไทยกับสหรัฐนั้น ไม่ว่าจะเปิดเสรีในภาคเกษตร หรืออุตสาหกรรม ไทยก็เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะผู้ที่ต้องปรับตัวอย่างรุนแรง และได้รับผลกระทบสูงคือไทย เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐเก็บภาษีขาเข้า ทั้งสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมต่ำอยู่แล้ว เช่นสินค้าอุตสาหกรรมนั้นเก็บเพียง 3-4 เปอร์เซ็นต์ แต่กรณีไทยนั้นภาษีทั้งสองภาคยังสูงอยู่มาก เช่นสินค้าเกษตรบางตัวนั้น ไทยยังเก็บภาษีขาเข้าสูงถึง 100 <span lang="TH">เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากปรับตัวไม่ได้ก็จะเสี่ยงต่อการล่มสลาย</span></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">นอกจากนี้สหรัฐยังมี เงินอุดหนุน ให้กับเกษตรกรของตนเองสูงมาก ซึ่งล่าสุดบุชก็เซ็นไปแล้ว 1.9 แสนล้านดอลลาร์ จึงทำให้เกษตรกรสหรัฐได้เปรียบเกษตรกรไทยมหาศาล ดัมพ์ตลาดไทยได้สบาย ส่วนรัฐบาลไทย คงไม่มีงบฯมหาศาลไปหนุนหลังเกษตรกรได้ ซึ่งในส่วนของปัญหาการอุดหนุนสินค้าเกษตรนี้ ในกรอบของทวิภาคี ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถเรียกร้องประเทศรวยให้ลดการอุดหนุน ต้องใช้เวทีดับเบิลยูทีโอเท่านั้น</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">นอกจากนี้แม้จะเปิดเขต การค้าเสรี แต่สิ่งที่ประเทศยักษ์ใหญ่ถนัดคือ การเปิดประตูใหญ่ แต่สร้างประตูเล็ก จำนวนมากขึ้นมาสกัดกั้น กล่าวคือ เปิดประตูใหญ่ให้ คือเปิดให้ส่งสินค้าเข้าไปขายได้เสรี แต่ประเทศยักษ์ใหญ่จะเชี่ยวชาญในการตั้งกลไกย่อยๆ ขึ้นมากีดกัน ในหลายรูปแบบเมื่อสินค้าเข้าไปถึงแล้ว</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">เขตการค้าเสรีจะทำร้าย ประเทศเพื่อนบ้าน หรือระหว่างภูมิภาคด้วยกัน เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติให้สิทธิพิเศษ กับประเทศใดประเทศหนึ่ง และทำร้ายอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เซ็นสัญญาเขตการค้าเสรี ขณะที่ระบบการค้าพหุภาคีภายใต้ดับเบิลยูทีโอนั้น มุ่งทำให้ทั้งโลกก้าวเดินไปพร้อมกัน มีการเลือกปฏิบัติน้อยที่สุด ภายใต้เป้าหมายสูงสุด คือต้องไม่มีใครถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง ซึ่งขณะนี้มีจำนวนประเทศค่อนโลกแล้ว ที่เข้าเป็นสมาชิกดับเบิลยูทีโอ</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">เขตการค้าเสรีดีจริง หรือ กรณีของประเทศเม็กซิโก ซึ่งเปิดเขตการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า-NAFTA) <span lang="TH">คือคำตอบที่ "คลาสสิค" ที่สุด ที่จะชี้ว่าเขตค้าเสรีเป็น</span> "นรกหรือสวรรค์" ของประเทศกำลังพัฒนา เม็กซิโกได้ตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ เมื่อปี ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) <span lang="TH">ใน สมัยที่นายคาร์ลอส ซาลินาส จากพรรคพีอาร์ไอ เป็นประธานาธิบดี แต่ความล่มสลายของชนชั้นกลาง และเกษตรกร ชนชั้นแรงงาน อันเกิดจากนาฟต้า ทำให้พรรคพีอาร์ไอ ซึ่งได้เป็นรัฐบาลปกครองประเทศมายาวนานถึง </span>71 ปี ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 ให้กับพรรคพีเอเอ็น ของนายบีเซนเต้ ฟอกซ์ เกซาดา ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">รัฐบาลเม็กซิโก ภายใต้พรรคพีอาร์ไอ ให้คำมั่นสัญญาสวยหรูกับชาวเม็กซิโกว่า การเปิดเขตการค้าเสรี จะทำให้ชาวเม็กซิโก มีงานทำมากขึ้น มีรายได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลาง เกษตรกร และคนยากจน แต่ปรากฏว่า นอกจากไม่สร้างงานเพิ่มแล้ว สถานการณ์ยังเลวร้ายกว่าเดิม ผู้พ่ายแพ้และตกเป็นเหยื่อ คือคนชั้นกลาง และเกษตรกรนั่นเอง ส่วนผู้ได้ประโยชน์สูงสุดคือคนรวย โดยในปี ค.ศ.1994 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดนาฟต้า นั้น จำนวนคนชั้นกลางได้ลดลง คนจนเพิ่มขึ้นมหาศาล จำนวนผู้อพยพชาวเม็กซิกันที่หลั่งไหลเข้ามาหางานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น โดยระหว่าง ค.ศ.1990-2000 <span lang="TH">จำนวนชาวเม็กซิกันในสหรัฐเพิ่มขึ้น </span>80 เปอร์เซ็นต์ ทุกปีจะมีชาวเม็กซิกันหลั่งไหลเข้าไปสหรัฐประมาณ 5 แสนคน มีชาวเม็กซิกันอย่างน้อย 1,600 คนตายระหว่างการพยายามลักลอบเข้าไปทำงานในสหรัฐ</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><o:p></o:p> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ไม่เพียงแต่ชนชั้นล่าง คนยากจนไร้การศึกษาเท่านั้น ที่ต้องดิ้นรนไปขุดทองในสหรัฐ ที่น่าตกใจคือคนชั้นกลาง และมีการศึกษาสูงพอสมควร ก็อพยพไปทำงานในสหรัฐด้วย ผลเสียคือรัฐบาลเม็กซิโกลงทุนด้านการศึกษาสูญเปล่า เพราะคนเม็กซิกันกลับนำความรู้ไปสร้างประโยชน์ให้กับสหรัฐ รัฐบาลเม็กซิโกสัญญากับประชาชนว่า เมื่อสหรัฐลดภาษีสินค้าเกษตรลง และให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน และเทคนิค จะทำให้ฟาร์มขนาดเล็ก สามารถเพิ่มผลผลิต และเพิ่มการแข่งขันได้ แต่หลังจากมีการเซ็นสัญญานาฟต้าแล้ว พรมก็ถูกดึงออกจากใต้เท้าของชาวนา เงินช่วยเหลือเกษตรกรที่รัฐบาลสัญญาไว้ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ลดเหลือเพียง 500 <span lang="TH">ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐก็ให้เงินอุดหนุนเกษตรกรสหรัฐมหาศาลในการส่งออก สินค้าไปขายยังเม็กซิโก โดยเกษตรกรสหรัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าเกษตรกรเม็กซิโก </span>7.5-12 เท่า ผลก็คือเกษตรกรเม็กซิโกน้ำตาตก</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ดังนั้นในขณะที่นายคา ร์ลอส อดีตประธานาธิบดีเม็กซิโก กำลังกล่าวสุนทรพจน์สวยหรู ที่วอชิงตันให้กับบรรดานายทุน ล็อบบี้ยิสต์ ฟังว่านาฟต้าประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ทำให้มีการหมุนเวียนทางการค้ามหาศาลระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโกนั้น ในวันถัดมาเกษตรกรเม็กซิโกที่โกรธแค้นก็ได้พากันไปบุกประตูสภาผู้แทนราษฎร ของเม็กซิโก กล่าวประณามนาฟต้า และเรียกร้องให้มีการทบทวนข้อตกลง จากนั้นก็เกิดการประท้วงขนานใหญ่ทั่วประเทศจากทั้งครู พนักงานไฟฟ้า-ประปา (ที่ต้องถูกแปรรูป) นายคาร์ลอส ถูกบันทึกว่า เป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเม็กซิโก<o:p></o:p></p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ทีมงานกำหนดนโยบาย เศรษฐกิจของพรรคพีอาร์ไอ ล้วนเป็นคนผู้สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐ และก็ถูกรัฐบาล และนายทุนจากวอชิงตันครอบงำ ดังนั้นการกำหนดนโยบาย จึงลืมนึกถึงมิติด้านสังคม ไม่มีมาตรการช่วยเหลือชนชั้นแรงงาน ไม่มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม มุ่งปกป้องนักลงทุน</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal">ดังนั้นหากประเทศไทย คิดจะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ และประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งกว่า ก็น่าจะไปศึกษาบทเรียน จากเม็กซิโกให้ถ่องแท้ เพื่อที่เกษตรกร คนชั้นกลาง จะได้ไม่ซ้ำรอยชะตากรรมเดียวกับเม็กซิโก</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"> </p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt;" class="MsoNormal"><font color="#6f6f6f"><strong>ที่มา : มติชนรายวัน วันที่ 21 <span lang="TH">ตุลาคม </span>2546หน้า 6</strong></font></p>
หมวดหมู่ของเนื้อหาในเว็บ: