กลุ่ม FTA Watch ซึ่งเป็นเครือข่ายนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรประชาชนต้องขออภัยท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในห้องประชุมนี้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมการประชาพิจารณ์และต้องขอคัดค้านการทำประชาพิจารณ์ในวันนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
1. การจัดทำประชุมในวันนี้ไม่สามารถถือได้ว่า เป็นการจัดประชาพิจารณ์ เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงรูปแบบและเนื้อหาของการประชุม รวมถึงกระบวนการก่อนการจัดประชุม ไม่ตรงตามหลักการประชาพิจารณ์ เช่น การไม่เปิดเผยเนื้อหาของข้อตกลงฯต่อสาธารณชนหรือแม้แต่องค์กรอิสระที่ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล เช่น สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น แม้ว่าจะได้ดำเนินการยื่นขออย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม อีกทั้งกระบวนการจัดการประชุมก็มีลักษณะเร่งรีบรวบรัดเพียงครึ่งวัน และเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนรับฟังมากกว่าการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ดังนั้นการประชุมลักษณะเช่นนี้จึงไม่อาจเรียกว่าเป็นการประชาพิจารณ์ นอกจากจะเป็นการจัดทำพิธีกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การลงนามข้อตกลง และพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เชื่อว่ามีสาระของข้อตกลงที่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อประชาชน
2. การจัดงานในวันนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของข้อตกลงได้แต่ประการใด ตามหนังสือตอบของกระทรวงต่างประเทศต่อผู้จัดงาน และยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นเพราะได้มีการนำข้อตกลงเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พร้อมกับการนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติอย่างไม่เป็นทางการตามคำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศ
3. ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในข้อตกลงทางการค้าที่ถูกผลักดันและดำเนินการภายใต้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นไปอย่างไม่โปร่งใส ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและที่สำคัญมีข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลและไม่มีความชอบธรรมใดๆที่จะเดินหน้าลงนาม สิ่งที่รัฐบาลนี้ควรกระทำมากที่สุดคือการนำข้อตกลงเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นกลับไปพิจารณาใหม่ทั้งฉบับตามข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
สารี อ๋องสมหวัง
ตัวแทนกลุ่มประกาศเจตนารมณ์ในเวทีประชาพิจารณ์
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชนขอเรียกร้องดังนี้
1. ประเทศไทยต้องมีกฎหมายเฉพาะสำหรับการเจรจาทำความตกลงระหว่างประเทศ เพื่อเป็นกฎเกณฑ์กติกาของสังคม เป็นกรอบสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาลต่อไป ได้ยึดถือปฏิบัติ ก่อนการลงนามข้อตกลงใด ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนเช่นในช่วงรัฐบาลทักษิณ กฎหมายดังกล่าวควรมีสาระสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอนการเจรจา องค์ประกอบของคณะเจรจา กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐสภา องค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งกำหนดกรอบเนื้อหาการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจา เป็นต้น
2. ให้มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านสังคมและด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ รัฐบาลควรจัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคีอิสระที่ประกอบด้วยผู้ที่สังคมให้การยอมรับเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย เพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากสังคม
3. จัดกระบวนการรับฟังความเห็นจากประชาชน เพื่อให้ประชาชน ผู้มีส่วนได้เสีย ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ให้ข้อเสนอแนะต่อเนื้อหาร่างความตกลง การกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบ ฯลฯ อย่างแท้จริง โดยต้องมีการเปิดเผยร่างความตกลง FTA ไทย-ญี่ปุ่น ให้ประชาชน นักวิชาการในสถาบันการศึกษา องค์กรอิสระต่างๆ ได้รับรู้ ได้มีเวลาศึกษาก่อนที่จะมาร่วมกิจกรรมการรับฟังความเห็นหรือการประชาพิจารณ์อย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถเสนอแนะความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ได้อย่างเต็มที่และสร้างสรรค์
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ยินดีเข้าร่วมการประชาพิจารณ์ หรือการรับฟังความคิดเห็นใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี หากกระบวนการจัดสอดคล้องกับหลักการประชาพิจารณ์อย่างแท้จริง มีความโปร่งใส และมิได้เป็นไปเพื่อสร้างความชอบธรรมในการลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ