“เรามีมาตรการปกป้องที่เพียงพอต่อขยะอันตราย …หนึ่งในรายการสินค้าที่เรารวม [อยู่ในข้อตกลง] คือ สิ่งที่เราเรียกว่า ขยะพิษอันตราย …ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอนุญาตให้พวกเขาส่งขยะมาที่เรา มัน [ส่วนที่ว่าด้วยขยะ] ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
ปีเตอร์ ฟาวิลา
เลขาธิการการค้าของฟิลิปปินส์
“รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดให้มีกรอบทางกฎหมายซึ่งอยู่บนพื้นฐานของอนุสัญญาบาเซล และได้มีการบังคับควบคุมการนำเข้าส่งออกอย่างเข้มงวด ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการส่งออกขยะที่เป็นพิษและอันตรายไปยังประเทศอื่น รวมถึงฟิลิปปินส์ ยกเว้นว่ารัฐบาลของประเทศนั้นๆจะอนุญาต”
ส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ของสถานทูตญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์
ฟิลิปปินส์ได้ลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น หรือ เป็นที่รู้จักกันดีในนาม JPEPA เมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ประเทศฟินแลนด์ ในความตกลงนั้น มีเนื้อหาสาระในการลดภาษีระหว่างกันในสินค้าจำนวนมาก ซึ่งรวมถึง
(i) สิ่งของรวบรวมจากประเทศภาคีซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ตามจุดประสงค์ดั้งเดิมได้ในประเทศของตน หรือไม่สามารถนำมาซ่อมได้ และที่เหมาะสำหรับการนำไปทำลายหรือนำวัตถุหรือชิ้นส่วนมาใช้ใหม่เท่านั้น
(j) ซากหรือขยะจากกระบวนการอุตสาหกรรมหรือจากการบริโภคในประเทศภาคี และที่เหมาะสำหรับการนำไปทำลายหรือนำวัตถุหรือชิ้นส่วนมาใช้ใหม่เท่านั้น
(k) ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ได้จากสิ่งของในประเทศภาคี ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ตามจุดประสงค์ดั้งเดิมได้ในประเทศของตน หรือไม่สามารถนำมาซ่อมได้”
ในทางปฏิบัติ สามรายการข้างต้นนั้น หมายถึงขยะนั่นเอง ซึ่งรวมถึงขยะที่เป็นพิษและอันตรายจากกระบวนการอุตสาหกรรมและการบริโภคด้วย เมื่อมีเสียงตั้งคำถามและคัดค้านจากภาคประชาสังคมถึงผลกระทบ รัฐบาลของทั้งสองประเทศยืนยันว่าการรวมเรื่องขยะเข้าไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคนิคการเจรจา และจะไม่ส่งผลกระทบต่ออนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด (เรียกสั้นๆว่าอนุสัญญาบาเซล) และกฎหมายภายในของฟิลิปปินส์
อนุสัญญาบาเซล มุ่งหมายให้ประเทศสมาชิกลดการเคลื่อนย้ายขยะข้ามพรมแดนระหว่างกันให้ได้มากที่สุด อนุสัญญาบาเซล มีขึ้นเพื่อปกป้องประเทศกำลังพัฒนาไม่ให้เป็นที่รองรับขยะและของเสียจากประเทศพัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตาม อนุสัญญาบาเซลโดยตัวของมันเองไม่ได้มีเนื้อหาห้ามการค้าขายขยะระหว่างประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา แต่ไม่สนับสนุน การห้ามไม่ให้มีการค้าขายขยะและเคลื่อนย้ายขยะถูกกำหนดไว้ชัดเจนในสัตยาบันสารการห้ามขนส่ง (Basel Ban Amendment) ซึ่งประเทศที่ให้สัตยาบันต้องปฏิบัติตาม ในปี 2538 ทั้งญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆที่เข้าร่วมได้ลงฉันทามติเห็นชอบให้มีการแก้ไขอนุสัญญาบาเซลโดยจะห้ามการส่งออกของเสียอันตรายทุกชนิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ จากประเทศสมาชิกกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD ซึ่งญี่ปุ่นเป็นสมาชิก) ไปยังประเทศอื่นๆ แต่สุดท้าย ญี่ปุ่นและประเทศพัฒนาแล้วอีกหลายประเทศ (รวมถึง สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) ก็ปฏิเสธที่จะลงนาม
ประเด็นสำคัญคือ ญี่ปุ่นไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะไม่ส่งขยะอันตรายไปยังฟิลิปปินส์และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในสัตยาบันสารการห้ามขนส่งและพันธะกรณีทั่วไปในอนุสัญญาบาเซล และเมื่อมีเอฟทีเอ ญี่ปุ่นก็อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องให้ภาคีของตน “ต้องอนุญาต” ให้มีการนำเข้า รายงานนี้ต้องการจะแสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงวิธีการทางเทคนิคในการเจรจาเท่านั้นอย่างที่เจ้าหน้าที่รัฐพยายามบอก แท้จริงแล้ว การรวมขยะเข้าไว้ในเอฟทีเอจะสร้างกรอบทางกฎหมายชั้นดีในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่จะแปลงขยะให้เป็นสินค้าที่เคลื่อนย้ายได้โดยเสรี โดยที่พันธะกรณีตามอนุสัญญาบาเซลไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป
ญี่ปุ่นกับแผนการสร้างเครือข่ายรีไซเคิลระหว่างประเทศในเอเชีย
สถาบันเพื่อยุทธศาสตร์ทางสิ่งแวดล้อมระดับโลก (Institute for Global Environmental Strategies- IGES) ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกเอกสารทางนโยบายชิ้นหนึ่งชื่อ “สร้างเครือข่ายเขตรีไซเคิลระหว่างประเทศในเอเชีย” (Networking International Recycling Zones in Asia) ส่วนหนึ่งรายงานนี้ระบุว่า
“…นโยบายที่เราเสนอจะสนับสนุนให้เกิดตลาดข้ามพรมแดนสำหรับขยะรีไซเคิลซึ่งดีสำหรับเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
…ประเทศที่เข้าร่วมจะต้องจัดตั้งเขตรีไซเคิลระหว่างประเทศซึ่งประกอบด้วยท่าเรือและพื้นที่ทางอุตสาหกรรมที่กำหนดขึ้น ท่าเรือที่กำหนดจะอำนวยความสะดวกในการค้าขยะรีไซเคิลระหว่างประเทศ โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นการค้าขายระหว่างบริษัทที่ได้รับใบประกาศ
…กำแพงอย่างเช่น อัตราภาษีที่สูงขึ้นหรือกำแพงที่ไม่ใช่ภาษีสำหรับขยะรีไซเคิลได้จำกัดการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบระหว่างประเทศและขัดขวางโอกาสการพัฒนาทางเทคโนโลยีในการเปลี่ยนขยะให้เป็นขยะรีไซเคิล นโยบายที่เสนอขึ้นนี้จะจัดการกับกำแพงเหล่านี้สำหรับบริษัทที่ได้รับใบประกาศในพื้นที่ที่กำหนด
…จำเป็นต้องมีข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อให้นโยบายนี้ได้รับการปฏิบัติ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพีธีการศุลกากร การให้การปฏิบัติอย่างเหมาะสม และกำจัดขยะรีไซเคิลจะต้องได้รับความเห็นชอบและลงนามร่วมกันโดยประเทศที่เข้าร่วม เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว เครือข่ายของเขตรีไซเคิลระหว่างประเทศก็จะเกิดขึ้น
…ข้อดีประการหนึ่งของนโยบายที่นำเสนอนี้คือว่ามันสามารถนำไปปฏิบัติเป็นโครงการนำร่องร่วมกับบางประเทศหรือบางภูมิภาคได้ก่อน นี่จะเป็นก้าวแรกสำหรับการทำข้อตกลงในอนาคตและเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายที่นำเสนอ
…ตั้งแต่ปี 2542/43 ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ได้ประสบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเขตการค้าเสรีระดับทวิภาคี และภูมิภาค (FTA) คาดการณ์ว่าบนฐานของความเคลื่อนไหวปัจจุบันในเรื่องข้อตกลงเขตการค้าเสรีทวิภาคีและภูมิภาคนั้น ประชาคมเอเชียตะวันออก (East Asia Community) จะถูกจัดขึ้นในอนาคตอันไม่ไกล การรวมเรื่องการขยายตลาดขยะรีไซเคิลข้ามพรมแดนในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้
…มาตรการในการสนับสนุนการค้าขยะรีไซเคิลและสินค้าที่นำมาผลิตใหม่สามารถจะนำเข้าไปรวมกับเอฟทีเอบางเอฟทีเอได้ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของมาตรการนั้นๆซึ่งได้มีการทดลองใช้กับท่าเรือไม่กี่ท่าเรือที่กำหนดขึ้น”
จะเห็นได้ว่า เนื้อหาในเอกสารกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเอฟทีเอนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การกำจัดกำแพงการค้าและเอฟทีเอระหว่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์จึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่นี้ ขั้นต่อไปจึงเป็นการขจัดกำแพงที่ไม่ใช่ภาษี นั่นคือ กฎระเบียบที่ว่าด้วยการควบคุมและห้ามขยะอันตราย
“ปัจจุบัน การนำเข้าและส่งออกขยะอันตรายถูกควบคุมโดยอนุสัญญาบาเซล (2532) กระบวนการนำเข้าและส่งออกปัจจุบันต้องมีการขออนุญาตจากทุกประเทศ… กระบวนการที่ยุ่งยากนี้ได้ก่อตัวเป็นกำแพงขวางการค้าระหว่างประเทศในขยะรีไซเคิล ด้วยนโยบายที่นำเสนอนี้ กระบวนการอนุญาตที่จะมีขึ้นในเขตรีไซเคิลระหว่างประเทศที่กำหนดขึ้นจะถูกปรับปรุง และลดความล่าช้าในการจัดการ”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ การขยายตลาดข้ามพรมแดนสำหรับขยะรีไซเคิลและการเปิดเสรีขยะอันตราย ซึ่งถูกปฏิบัติให้เหมือนกับเป็นสินค้าปกติทั่วไป
จัดตั้งตลาดขยะรีไซเคิล
ญี่ปุ่นต้องการสร้างให้มีตลาดภูมิภาคสำหรับขยะรีไซเคิล ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ สินค้าและวัตถุดิบสำหรับการรีไซเคิลก็คือ “ขยะ” ดีๆนั่นเอง ญี่ปุ่นนำเสนอแนวคิด 3 R คือ ลด (reduce) นำกลับมาใช้ใหม่ (re-use) และรีไซเคิล (recycle) เพื่อที่จะ
“ลดกำแพงขวางกั้นการเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบระหว่างประเทศสำหรับการรีไซเคิลและการผลิตใหม่ ผลิตภัณฑ์ที่รีไซเคิลและผลิตใหม่ ไปพร้อมๆกับมีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพกว่าและสะอาดกว่า สอดรับกับพันธกรณีและกรอบแนวทางที่มีอยู่แล้วด้านการค้าและสิ่งแวดล้อม”
ในการประชุมภูมิภาคเอเชียเรื่อง 3R เมื่อเดือนมีนาคม 2549 ประธานชาวญี่ปุ่นในที่ประชุมได้สรุปข้อเสนอแนะในการ
“จัดตั้งตลาดภูมิภาคสำหรับขยะรีไซเคิล รวมทั้งขยะอันตราย ด้วยความโปร่งใสและสามารถติดต่อแหล่งที่มาได้ สนับสนุนความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับ 3R ระหว่างประเทศส่งออกและนำเข้า รวมถึงในข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTAs) และพัฒนานโยบาย 3R โดยใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบระหว่างประเทศ/ ชุมชน (เช่น ศักยภาพทางเทคโนโลยี การมีแรงงาน การเข้าถึงตลาด)”
การจัดตั้งตลาดรีไซเคิลในเอเชียจะทำให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากความเสี่ยง ภาระ และปัญหาในการกำจัดขยะโดยเฉพาะขยะอันตราย ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็สามารถขายเทคโนโลยีไปยังประเทศกำลังพัฒนาเพื่อให้กำจัดขยะที่มาจากประเทศของตนได้อีกต่อหนึ่ง
ขยะพิษจากญี่ปุ่น
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นได้ส่งออกขยะไปยังประเทศอื่นอยู่แล้ว กรีนพีซและเครือข่ายปฏิบัติการบาเซล ได้บันทึกขยะญี่ปุ่นปริมาณมหาศาลที่ถูกลักลอบเข้าไปยังท่าเรือหนึ่งของจีนทางตอนใต้ของเมืองเซี่ยงไฮ้ ในปี 2548 ยังพบว่ามีเศษชิ้นส่วนของรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคถูกส่งมาจากญี่ปุ่นโดยอ้างว่าจะนำกลับมาใช้ใหม่ อย่างไรก็ตาม 75% ของการนำเข้าเหล่านั้นไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้และก็ได้แต่เพียงปล่อยทิ้งไว้ในที่ทิ้งขยะข้างทางหรือหนองน้ำ
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้ส่งออกเรือที่ใช้การไม่ได้แล้วไปทิ้งยังประเทศเอเชียใต้ ด้วยการจัดการในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีมาตรฐาน ส่งผลให้คนงานที่มีหน้าที่แยกชิ้นส่วนเรือสัมผัสกับสารพิษโดยตรงและทนทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง
ในปี 2542 บริษัทญี่ปุ่น Yugengaisah Nisso of Tochigi ได้ส่งออก ตู้คอนเทนเนอร์ 124 ตู้ บรรจุขยะทางการแพทย์ไปยังฟิลิปปินส์ทางทะเล ซึ่งลักษณะภายนอกดูเหมือนกับเป็นของเสียจากบ้านเรือ ในเวลานั้น หนังสือพิมพ์ฟิลิปปินส์ฉบับหนึ่งได้แสดงความเห็นว่า
“เราออกตัวว่าเข้าข้างโลกาภิวัฒน์ แต่เราไม่เคยนึกเลยว่ามันจะรวมถึงโลกาภิวัฒน์ของขยะมูลฝอยและการส่งออกของเสียที่อาจติดเชื้อและมีพิษอย่างมากมายด้วย”
การลดภาษีขยะในเอฟทีเอไม่มีความหมายจริงหรือ
ทั้งฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นไม่ได้ให้ลงนามในสัตยาบันสารการห้ามขนส่ง นอกจากนี้กฎหมายภายในของฟิลิปปินส์ก็ไม่ได้ห้ามการนำเข้าขยะสำหรับการรีไซเคิลอย่างเคร่งครัด เพียงแต่กำหนดให้มีการขอใบอนุญาตเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ไม่มีสิ่งที่จะรับประกันว่า อนุสัญญาบาเซิล รวมทั้งสัตยาบันสารการห้ามขนส่ง จะมีน้ำหนักทางกฎหมายมากกว่า JPEPA
ประเด็นก็คือ หากมีความขัดแย้งในกฎหมาย เมื่อเรื่องขึ้นสู่ศาล ศาลมีแนวโน้มที่จะตีความตามข้อตกลงที่ใหม่กว่าและมีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงมากกว่าข้อตกลงที่เก่ากว่าและมีลักษณะทั่วไปมากกว่า ในกรณีนี้ JPEPA เป็นความตกลงที่เพิ่งทำขึ้น และครอบคลุมถึงเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง คือ เรื่องการลดภาษีสินค้าขยะ ซึ่งจะต้องได้รับการอำนวยความสะดวก สิ่งนี้จะขัดแย้งกับกฎหมายที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ซึ่งมีเนื้อหาในการควบคุมและจำกัดการนำเข้า
อันที่จริง การใส่ภาษาในข้อตกลงที่สร้างความขัดแย้งในการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้น ได้รับการต่อต้านจากข้าราชการด้านสิ่งแวดล้อมของฟิลิปปินส์ แต่ในที่สุดก็ไม่อาจต้านทานแรงจากฝ่ายญี่ปุ่นได้ นั่นแสดงว่า สำหรับญี่ปุ่นแล้ว การลดภาษีขยะคงไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคการต่อรองเท่านั้น
การรวมเนื้อหาที่ว่าด้วยการลดภาษีขยะไว้ในเอฟทีเอจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งในระดับชาติและระดับโลก เพราะว่ามันจะไปท้าทายข้อห้ามการค้าขยะภายในฟิลิปปินส์เอง และจะท้าทายสังคมโลกซึ่งพยายามจะลดและขจัดการค้าขยะผ่านอนุสัญญาบาเซล ในอนาคต หากฟิลิปปินส์ตัดสินใจที่จะลงนามในสัตยาบันสารการห้ามขนส่งหรือต้องการจะห้ามการนำเข้าขยะบางประเภทที่ปรากฎอยู่ในข้อตกลง สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาอย่างแน่นอน
หมายเหตุ บทความนี้ มาจากรายงาน JTEPA as a Step in Japan’s Greater Plan to Liberalize Hazardous Waste Trade in Asia (พฤศจิกายน 2549) ซึ่งจัดทำโดยเครือข่ายปฏิบัติการบาเซล (Basel Action Network) เรียบเรียงโดยกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อทช์)