จากบทความ "ตอบกลุ่มเอ็นจีโอเรื่องผลศึกษาเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)" ที่ได้มีการเผยแพร่ในเว็บไซด์ เอฟทีเอไดเจสท์ (FTA Digest) ของทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI เป็นที่น่ายินดีที่ขณะนี้มีหลายส่วนของสังคมมีความเห็นพ้องกันชัดเจนว่ากระบวนการเจรจาและจัดทำพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย (ซึ่งอาจรวมถึงนโยบายสาธารณะจำนวนมากด้วย) ยังบกพร่องด้านความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมจากประชาชน นอกจากนี้ ยังมีความเห็นร่วมกันอีกว่าจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเพื่อกำกับกระบวนการเหล่านี้ให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ในด้านเนื้อหาหรือสารัตถะของความตกลงนั้นก็น่ายินดีเช่นกันที่มีความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น โดยในบทความข้างต้นทาง TDRI ได้ชี้แจงตอบประเด็นการแถลงข่าวของภาคประชาชนในหลายข้อ ซึ่งผมจะขอให้ข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อความกระจ่างมากขึ้นกับกรณีที่ผมได้แถลงไปแล้วแต่ยังมีความเห็นต่างกันอยู่
การที่มาตรการปกป้องสองฝ่ายใน JTEPA นั้น มีการใช้ระดับปริมาณการนำเข้าเป็นตัวกำหนดโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยด้านราคาอาจทำให้มีปัญหาตามมาได้ เนื่องจากในหลายกรณี การนำเข้าในปริมาณไม่มากอาจส่งผลดึงราคาภายในให้ตกลงจนก่อความเสียหายต่อผู้ผลิตได้ นอกจากนี้ แน่นอนว่าราคาภายในที่ตกต่ำลงของสินค้าย่อมสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากผลของความตกลงทางการค้านั้นๆ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่ารัฐบาลยังควรคงความสามารถที่จะปกป้องผู้ผลิตภายในได้หรือไม่ เช่น เมื่อลงนาม FTA ไปแล้ว หากเกษตรกรไทยเดือดร้อนจากราคาผลผลิตตกต่ำด้วยสาเหตุด้านดินฟ้าอากาศ รัฐบาลจะไม่สามารถใช้มาตรการทางภาษีในการปกป้องเกษตรกรไม่ให้ถูกซ้ำเติมจากสินค้านำเข้าได้ สรุปคือ ถึงปัญหาไม่ได้เกิดจาก FTA หนึ่ง แต่การลงนาม FTA นั้นจะลดความสามารถของรัฐบาลไทยในการบรรเทาปัญหาไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ตัวอย่างของสินค้าเกษตรอาจไม่ชัดเจนกับกรณีของ JTEPA นักแต่น่าจะเป็นบรรทัดฐานให้กับประเทศไทยในการวางท่าทีต่อไปกับสินค้าอื่นๆ หรือการเจรจาในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาคือการมีมาตรการปกป้องที่สามารถใช้ได้ทั้งปริมาณและระดับราคาเป็นตัวกำหนด แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการที่เปิดเผยโปร่งใสและชัดเจนในการชี้วัดผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอันจะนำไปสู่การใช้มาตรการดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย เพื่อป้องกันความไม่เป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกในประเทศคู่ภาคี
การเน้นการใช้มาตรการนี้มิได้เป็นการให้ความสำคัญกับผู้ผลิตเหนือผู้บริโภคแต่เป็นการมองเสถียรภาพและประโยชน์ในภาพรวม ผู้ผลิตก็เป็นผู้บริโภคและผู้บริโภคจำนวนมากก็เป็นผู้ผลิต ที่ผ่านมาในอดีตบ่อยครั้งเหลือเกินที่เมื่อผู้นำเข้าสินค้าสามารถนำเข้าในราคาถูกลงแต่ผู้บริโภคกลับไม่สามารถซื้อสินค้านั้นๆ ได้ในราคาที่ถูกลง รวมถึงในระยะยาวสินค้าที่ราคาถูกลงจริงจากการเปิดเสรี ระดับราคาอาจมีการผันผวนได้จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนหรืออิทธิพลเหนือตลาดเป็นต้น จุดนี้เองเป็นความสุ่มเสียงด้านสวัสดิการของผู้บริโภคที่อาจเกิดขึ้นจากการพึ่งพิงการนำเข้ามากเกินไป การคุ้มครองการผลิตภายในอย่างเหมาะสม จึงเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การมีระดับราคาภายในที่ไม่เหมาะสมอาจเกิดจากอำนาจเหนือตลาดหรือปัจจัยภายในอื่นๆ ได้ ซึ่งควรมีกฎหมายและกลไกในการดูควบคุมเช่นกัน เป้าหมายของรัฐบาลจึงควรสร้างสมดุลระหว่างการผลิต การนำเข้า กับการบริโภคภายใน ซึ่งมาตรการปกป้องที่รัดกุมจะสามารถช่วยได้
เรื่องของมาตรการปกป้องฉุกเฉิน หรือ ESM ในหัวข้อการค้าบริการนั้น การที่ผู้เจรจาฝ่ายไทยไม่สามารถให้มีการตกลงในเรื่องนี้เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นท่าทีของไทยในองค์การการค้าโลก (WTO) ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อจุดยืนของไทยและพันธมิตรในการเจรจาระดับพหุภาคีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะเปิดให้เจรจาเรื่องนี้หกเดือนหลังจาก JEPTA มีผลบังคับใช้ แต่นั่นมีความแตกต่างอย่างมากกับการที่มีผลผูกพันอยู่ในความตกลงรอบแรก เนื่องจากรัฐบาลไทยต้องนำประเด็นอื่นๆ ไปแลกเพิ่มเติมอีกเพื่อให้ได้ความตกลงในส่วนนี้ ซึ่งอาจหมายถึงการที่ไทยต้องเปิดให้ญี่ปุ่นเกินกว่าที่กฎหมายภายในประเทศกำหนดในปัจจุบัน หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องตามดูว่ามาตรการปกป้องที่(หาก)ได้มาเมื่อเทียบเคียงกับเงื่อนไขการเปิดเสรีที่เพิ่มแล้วมีความสมดุลหรือไม่ แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งคือ แม้จะไม่ได้มีข้อตกลงเกินไปกว่าที่กฎหมายในปัจจุบันกำหนด แต่การลงนามเช่นนี้มีจะผลในการจำกัดความสามารถในการปรับเปลี่ยนหรือออกกฎหมายใหม่ในอนาคตของไทย
ในการหยิบยกเรื่องมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช SPS ขึ้นมานำเสนอมีเป้าประสงค์สองข้อสำคัญคือ หนึ่ง ชี้ว่าการยกตัวอย่างผลประโยชน์จากการลดภาษีสินค้าเกษตรโดยไม่พูดถึงข้อจำกัดอันเกิดจาก SPS เป็นการให้ข้อมูลที่ขาดความครบถ้วนซึ่งมักปรากฏอยู่เสมอ สอง จุดยืนที่ผมนำเสนอมาโดยตลอดคือในความตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่นหากทางญี่ปุ่นสามารถพิสูจน์ให้เรายอมรับได้ว่าการนำเข้าสินค้าเกษตรใดจะก่อให้เกิดความเสียหายกับเกษตรกรและความมั่นคงทางอาหาร เราก็ควรจะให้เกียรติเขา แต่สินค้าใดที่ญี่ปุ่นต้องนำเข้าจากประเทศอื่นอยู่แล้วก็ควรให้สิทธิ์กับสินค้าไทยเป็นพิเศษโดยสิทธิพิเศษทางภาษีนั้นควรเป็นไปเพื่อส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรม การผลิตที่ยั่งยืน และไม่สลายความเข้มแข็งของชุมชนชนบทในทั้งสองประเทศ โดยที่เรื่อง SPS ไม่ควรนำมาใช้ในลักษณะกีดกันซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนจากวัตถุประสงค์จริงที่มีไว้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม การเจรจาในเรื่องนี้จึงไม่ควรมุ่งแต่การลดมาตรฐานของเขา แต่ควรปรับและพัฒนามาตรฐานที่มีการยอมรับร่วมกัน มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รองรับและมีความคงเส้นคงวาในการบังคับใช้ สรุปคือ มาตรการเพื่อความมั่นคงทางอาหารของญี่ปุ่นควรจะชัดเจนโปร่งใสและไม่นำ SPS เข้ามาปะปน ดังนี้แล้วจะเห็นว่าการมีความผูกมัดเรื่อง SPS ที่เหมาะสมชัดเจน นอกจากจะส่งผลดีต่อไทยจะยังไม่น่าคุกคามวิถีชีวิตของเกษตรกรญี่ปุ่น
ประเด็นสิ่งทอที่ได้นำเสนอไปนั้นชี้ว่าควรจะมีการศึกษาผลการที่สินค้าจากจีนจะเข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้นด้วย เนื่องจากผลประโยชน์ที่ผู้ส่งออกไทยได้รับจากการลดภาษีนำเข้าของญี่ปุ่นภายใต้ JTEPA และกับประเทศต่างๆ ในความตกลงอื่นๆ อาจมีอายุสั้นเพียงไม่กี่ปี ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถรักษาปริมาณการผลิตหรือรูปแบบการผลิตที่เป็นอยู่ได้ต่อไป การคำนึงถึงปัจจัยจากประเทศจีนนี้จะทำให้เราเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะตกกับใครได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทั้งด้านปริมาณและระยะเวลา ประเด็นต่อมาคือใครเป็นผู้เสียประโยชน์หากส่งออกได้น้อยลง ก็ค่อนข้างแน่นอนว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงานมีแนวโน้มที่จะต้องเป็นผู้แบกรับภาระนั้นมากกว่าผู้ประกอบกิจการหรือผู้ส่งออกเนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองที่เป็นอยู่ไม่ได้เอื้อให้คนกลุ่มใหญ่นี้มีอำนาจต่อรองเพียงพอได้ แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าทำ FTA แล้วแรงงานจะได้ประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างจริงหรือ กลไกตลาดในไทยหรือที่อื่น ๆ ทรงประสิทธิภาพในการจัดสรรผลประโยชน์อย่างที่เราถูกทำให้เชื่อเสมอไปหรือไม่
ในกรณีนี้คำถามที่ผมถามคือ แม้ว่าในปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศจะยังคงหาทางกีดกันสิ่งทอจากจีนต่อไปภายหลังการสิ้นสุดลงของ "ข้อตกลงเส้นใยระหว่างประเทศ" (MFA) แต่หากจีนสามารถระบายสินค้าสิ่งทอราคาต่ำออกสู่ตลาดโลกอย่างที่เกรงกันได้จริงในอนาคตอันใกล้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้จาก FTA อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยจนก่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตไทยอาจเปลี่ยนลักษณะการจ้างงานไปสู่แรงงานต่างด้าว หรือไปตั้งโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้แรงงานไทยประสบปัญหาอยู่ดี รวมทั้งถ้าแนวโน้มนี้เกิดขึ้นจริง แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานในประเทศเพื่อนบ้านน่าที่จะถูกจ้างในเงื่อนไขที่มาตรฐานความคุ้มครองอยู่ในระดับต่ำมาก นำมาสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า แรงงานไทยถูกเลิกจ้างขณะที่แรงงานต่างชาติถูกขูดรีด (แนวโน้มนี้อาจกำลังเกิดขึ้นอยู่แล้วแม้ไม่มี FTA แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงประโยชน์จาก FTA กับแรงงานก็คงไม่เกิดตามที่กล่าวอ้าง อีกทั้ง FTA จะยิ่งทำให้ไทยแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด) อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การสรุปสุดท้าย แต่เป็นข้อสังเกตที่มุ่งหวังให้มีการศึกษาเพิ่มเติม
เรื่องดุลการค้าแม้จะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรแต่เป็นประเด็นที่รัฐบาลที่ผ่านมาให้ความสำคัญและมักจะหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นสาเหตุความจำเป็นในการทำ FTA นอกจากนี้คณะเจรจา JTEPA ของไทย พยายามชี้แจงให้มองในภาพรวมว่าการขาดดุลกับญี่ปุ่นที่จะเพิ่มขึ้นจากความตกลงนี้อาจทำให้ไทยได้ดุลกับประเทศอื่น ๆ ตามมา ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการมองในภาพรวมแต่ได้พยายามชี้ให้เห็นว่าการเร่งเปิดเสรีอาจไม่ได้นำมาซึ่งการได้ดุลในภาพรวมเสมอไป ข้อสังเกตก็คือไทยเป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจพึ่งพิงการนำเข้าและส่งออกอยู่มาก และได้เปิดเสรีเพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ แต่แนวทางเช่นนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ไทยหลุดพ้นจากภาวการณ์ขาดดุลการค้าที่ต่อเนื่องยาวนานนับสิบปีจนถึงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจเราก็เห็นว่าภาวการณ์ได้ดุลนั้นหดแคบลงอีกจนขาดดุลในที่สุด คำถามที่ต้องถามคือว่าหากแนวทางโดยรวมของประเทศยังเป็นไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร
คงต้องกล่าวย้ำอีกครั้งว่าการแลกเปลี่ยนและถกเถียงในเนื้อหาของความตกลงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นแต่ยังคงดำเนินไปด้วยความจำกัดหากกระบวรการเจรจายังเป็นที่รู้กันในวงคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ผมจำเป็นต้องยืนยันสิทธิ์ที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถรับรู้ร่างการเจรจาเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมการมีกฎหมายกำกับการเจรจาการค้าหรือการสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศเป็นสิ่งทีขาดไม่ได้ กลุ่ม FTA Watch
ในฐานะเครือข่ายภาคประชาสังคมจึงได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันหลักการนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายประชาชนต่าง ๆ รวมถึงนักวิชาการ และเมื่อได้ข้อสรุปหลักการก็ได้พยายามนำเสนอต่อสื่อมวลชนและสาธารณะซึ่งเป็นบทบาทของภาคประชาสังคมในการร่วมสร้างความเข้มแข็งกับการเมืองภาคพลเมือง รวมทั้งยังพยายามหาหนทางให้มีนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญได้ยกร่างกฎหมายโดยคำนึงถึงข้อเสนอของเครือข่ายประชาชนต่างๆ อย่างไรก็ตามภาคส่วนต่างๆ ของสังคมนั้น มีงบประมาณ มีความชำนาญและที่สำคัญมีบทบาทที่แตกต่างกันไป จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีบทบาทนำในทุกเรื่องหรือทุกขั้นตอน สำคัญที่ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ องค์กรเอกชน ภาคประชาชน รวมถึงหน่วยงานรัฐที่มีเป้าหมายคล้ายคลึงกันจักสามารถร่วมไม้ร่วมมือในการสรรสร้างความก้าวหน้าได้ น่ายินดีที่ทราบว่าทาง TDRI และทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มีงบประมาณและบุคลากรที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี และทาง FTA Watch ไม่เพียงยินดีแต่จะพยายามเข้าร่วมกับทุกกระบวนการที่มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งกฎหมายการเจรจาฯ ที่มีความโปร่งใส มีส่วนร่วมจากประชาชนและมีความเป็นประชาธิปไตย ด้วยความเชื่อที่ว่าการค้าการลงทุนที่เหมาะสม จะยังประโยชน์อย่างยิ่งกับเศรษฐกิจและสังคมไทย รวมทั้งข้อตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ดี สามารถนำไปสู่การเสริมสร้างความเสมอภาคและความยั่งยืนได้
สุดท้ายต้องชี้แจงว่า FTA Watch ไม่ได้อ้างสิทธิ์เป็นตัวแทนของประชาชน แต่เป็นเพียงกลุ่มคนที่สนใจติดตามและห่วงใยในประเด็นการค้าเสรีจึงได้พยายามผลักดันการเจรจาให้เป็นที่รับรู้ในสังคม และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมเท่าที่จะทำได้