*งาน บรรยายนี้จัดโดยศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา (โฟกัส) เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2549
โดย ศ.ดร. วอลเดน เบลโล
อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์และ
ผู้อำนวยการโครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา
(Focus on the Global South)
สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่เชิญผมมาพูดในวันนี้และขอบคุณศูนย์เศรษฐศาสตร์ การเมือง อาจารย์นพนันท์ที่สนับสนุนการสัมมนาวันนี้ ผมได้รับคำร้องให้พูดถึงคลื่นประชานิยมที่กำลังเกิดขึ้นในลาตินอเมริกา ผมคิดว่าถึงแม้ว่าเราจะอยู่ไกลจากทวีปลาตินอเมริกา แต่ว่าเราก็ได้ยินข่าวว่ามีเหตุการณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นในทวีปนั้นอยู่ตลอดเวลา เวลาเรามองสถานการณ์โลกในตอนนี้ เราจะเห็นว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเมื่อดูในลาตินอเมริกา มันทำให้เรามีความหวังเพิ่มขึ้น ดังนั้นวันนี้อยากจะอภิปรายว่าทำไมเหตุการณ์ในลาตินอเมริกาจึงสร้างความหวังให้กับชาวโลก
คงพูดได้ว่าลาตินอเมริกากำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิวัติ เห็นชัดว่าเป็นการปฏิวัติต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ เป็นขบวนการที่ต่อต้านการครอบงำของสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นจะลองดูว่ามันมีชุมทางของกระแสต่างๆอย่างไร ในการปฏิวัติต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ในลาตินอเมริกา
เหตุการณ์แรกที่เห็นได้ชัดคือเมื่อฮูโก ชาเวซ ขึ้นเป็นประธาธิบดีในเวเนซูเอล่าในปี 1998 (2541) โดยผ่านการเลือกตั้ง หลังจากนั้นลูลาก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธาธิบดีบราซิลในปี 2002 (2545) ซึ่งเป็นการรับสมัครเลือกตั้งครั้งที่สาม จึงชนะ ในปี 2002 (2545) เนสเตอร์ คิชเนอร์ เป็นประธานาธิบดีใหม่ในอาร์เจนตินา ปีที่แล้ว เอโว โมลาเลส ได้เป็นประธานาธิบดีในโบลีเวีย จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญสี่ครั้งที่แสดงถึงการต่อต้านเสรีนิยมใหม่ในลาตินอเมริกา
แอนเดรียส โลเปรส โอปราดอร์ ของเม็กซิโกเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการเลือกตั้ง การเลือกตั้งในเม็กซิโกจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า หนังสือพิมพ์นิวยอร์คสไทม์ได้อธิบายว่า โลเปรสเริ่มอาชีพโดยการอาศัยอยู่กับคนพื้นเมือง แล้วก็เป็นผู้นำคนเข้าไปนั่งยึดภายในโรงงานน้ำมันและบ่อน้ำมันของรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นเขาจึงเป็นนักเคลื่อนไหวมาตั้งแต่แรก จนขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เป็นนายกเทศมนตรีของเม็กซิโกซิตี้ หนังสือพิมพ์บอกว่า ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ เขาจะเป็นศูนย์กลางของการเลือกตั้ง เพราะเขาได้นำประเด็นความขัดแย้งทางชนชั้นออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ในคำแถลงของเขาเมื่อเร็วๆนี้ เขาได้ประกาศที่จะอุทิศตนเพื่อกำจัดสิทธิประโยชน์ของชนชั้นอภิสิทธิ์ซึ่งได้ผูกขาดอำนาจทางการเมืองในเม็กซิโกมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ เขาได้ขอให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการลงประชามติของประชาชนด้วยว่าประเทศต้องการที่จะดำเนินนโยบายการค้าเสรีและเข้าข้างธุรกิจต่อไป หรือว่าจะร่วมเข้ากับประเทศลาตินอเมริกาอื่นๆซึ่งมีผู้นำประชานิยมฝ่ายซ้ายซึ่งประกาศที่จะให้รัฐมีบทบาทในทางเศรษฐกิจ และกระจายรายได้ให้กับคนจน
กระแสที่เรียกว่าเป็นประชานิยมฝ่ายซ้าย เกิดขึ้นโดยที่เราต้องตั้งข้อสังเกตว่านโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ได้นำมาใช้ในลาตินอเมริกามากกว่าประเทศอื่นๆในโลก ดังนั้นจึงมีการบริหารเศรษฐกิจที่เป็นไปในทางตลาดเสรีมาโดยตลอด เป็นหลักการใหญ่ที่ยึดมาในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีที่ไหนในโลกที่มีแนวนโยบายที่ยึดถือเสรีนิยมใหม่เท่าลาตินอเมริกา ถ้าดูประเทศในลาตินอเมริกาจะเห็นว่าอาร์เจนตินาเป็นผู้ที่นำนโยบายไปใช้ แล้วได้รับผลกระทบอย่างค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นเราอาจจะต้องดูอาร์เจนตินาสักเล็กน้อย อาร์เจนตินาลดภาษีศุลกากร แปรรูปรัฐวิสาหกิจมากที่สุดในโลก ขจัดการควบคุมทุน ปล่อยเสรี ขายธนาคารให้ต่างชาติ ใช้ดอลลาร์เป็นสกุลเงิน ทำให้เป็นหนี้มากมายจนต้องหยุดชำระหนี้
เศรษฐกิจล่มสลาย ปี 2002 (2545) จีดีพีติดลบไปเกือบ 4% คนตกงาน ประมาณ 50% ตกอยู่ภายใต้เส้นความยากจน อาร์เจนตินากลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในทันทีทันใด และจนยิ่งกว่าประเทศที่ยากจนก่อนหน้านั้นในลาตินอเมริกาเสียอีก เทียบเท่ากับการโดนอาวุธนิวเคลียร์เลยทีเดียว จากที่รวยที่สุดไปเป็นจนที่สุด
ดังนั้น โรเบิร์ต รูบิน รัฐมนตรีคลังสมัยคลินตันของอเมริกา บอกว่า ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนโยบายตลาดเสรีไม่เกิดผลในลาตินอเมริกา แต่ประชาชนของอาร์เจนตินาไม่รอที่จะทดลองอีกต่อไป เพราะคิชเนอร์ออกมาประกาศว่าจะจ่ายคืนแค่ 10 สตางค์จากหนี้หนึ่งบาท ประชาชนสนับสนุนอย่างล้นหลามในการตัดสินใจที่จะลดการชำระหนี้ เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ และจะจ่ายเงินเพียง 25 สตางค์ให้กับหนี้สถาบันเอกชน ในความเป็นจริง บางคนบอกว่า ถ้าคิชเนอร์ไม่มีท่าทีอย่างนี้ คือมีการประนีประนอม เขาอาจจะถูกประชาชนไล่ออกก็ได้
ถึงแม้เราอาจจะว่าการตัดสินใจเช่นนี้เป็นการบ้าบิ่น แต่ก็เป็นการตัดสินใจทางเดียวที่ทำให้อยู่รอดได้ คิชเนอร์สามารถทำตามที่เขาขู่ไว้ แม้ว่าเจ้าหนี้จะโวยวายฟ้องไอเอ็มเอฟให้มากำกับอาร์เจนตินา เพราะว่าไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ในประวัติศาสตร์ที่จ่ายเพียงหนึ่งในสี่ของหนี้ที่กู้ไป คิชเนอร์บอกเจ้าหนี้ทั้งหลายว่าต้องรับสถานการณ์นี้ ไม่เช่นนั้นอีกไม่กี่สัปดาห์ เงินจะลดไปอีก จะจ่ายเพียง 10 สตางค์ต่อหนี้ 1 ดอลลาร์ ดังนั้น เขาทำอย่างนี้ได้ ทำให้หนี้อาร์เจนตินาลดลงอย่างฮวบฮาบ ซึ่งเป็นการกระทำที่ได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งจากประชาชน อีกอย่างที่เขาทำ คือ อาร์เจนตินาและบราซิลจ่ายหนี้ไอเอ็มเอฟคืนไปทั้งหมดเพื่อจะเป็นอิสระ
อยากจะชี้ให้เห็นว่าพัฒนาการในอาร์เจนตินา มีความสำคัญมากในการสร้างประชามติที่เป็นไปในทางต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ในลาตินอเมริกา ดังนั้น กระแสประชานิยมฝ่ายซ้ายในลาตินอเมริกานี้มันคืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง หลายคนได้ยินคำนี้ซึ่งใช้ในการอธิบายผู้นำในลาตินอเมริกา
ประชานิยม เป็นแนวทางการเมืองและโครงการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับบารมีของปัจเจกบุคคล เขาหรือเธอมีแนวโน้มที่จะเข้าถึงประชาชนต่างชนชั้น จะมีโครงการสำหรับคนงาน คนยากจนในสลัม คนชั้นกลาง คนชนบทที่ยากจน นี่คือลักษณะบุคลิกของผู้นำที่เข้าถึงชนชั้นต่างๆได้ในขณะเดียวกันก็แยกอภิสิทธิ์ชนออกไป ส่วนใหญ่ในลาตินอเมริกาเป็นการต่อต้านอเมริกา เพราะว่าอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้จะทำงานกับอเมริกาคู่เคียงกันไป ที่น่าสนใจคือ คนทางฝ่ายซ้ายที่ค่อนข้างจะทำงานเพื่อชนชั้น แต่ขณะเดียวกันฝ่ายซ้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าร่วมกับฝ่ายประชานิยม
ในลาตินอเมริกามีประชานิยมฝ่ายซ้ายมายาวนาน ผู้นำประชานิยมคนหนึ่งคือ โดมิโก เปรอน ซึ่งสร้างมวลชนขึ้นมาจากสลัมในเมืองในช่วงปี 1950 (2493) ดังนั้น เปรอนจึงไม่ใช่แค่สามีของเอวิตา เปรอน มันมีช่วงหนึ่งที่เขาได้รับความนิยมมากกว่าเอวิตาเสียอีก และเขาเป็นผู้นำคนแรกๆที่นำประชานิยมฝ่ายซ้ายมาใช้
ที่น่าสนใจ ในสายตาของอเมริกา คือ ผู้นำที่อันตรายที่สุด ฮูโก ชาเวซ เขาเป็นมาอย่างไร ถึงทำให้ประชานิยมมีพลังมากถึงขนาดนี้
ฮูโก ชาเวซ และ เอโว โมลาเลส
ฮูโกในสายตาของผมยังหนุ่มอยู่ คือ อายุแค่ 52 ปี อย่างไรก็ตามคนพวกนี้ส่วนใหญ่อายุ 40-50 เท่านั้น จึงอยู่ในรุ่นใกล้ๆกัน และเป็นรุ่นหนุ่มถ้าเปรียบเทียบในหมู่ผู้นำด้วยกัน
เขาเป็นทหารแต่แรกเพราะตอนแรกต้องการเป็นนักเบสบอล เพราะทหารเป็นสถาบันที่สนับสนุนผู้ต้องการเข้าร่วมทีมเบสบอล หลายคนบอกว่าดีที่เขาไม่ได้เป็นนักเบสบอลอาชีพแต่เป็นนักการเมือง เขาเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยด้านการสงครามที่ได้รับความนิยมสูง เขาเข้าร่วมในการจัดตั้งแนวคิดตามซิมมอน โบลีวา ซึ่งเป็นผู้นำในอดีตที่พยายามรวบรวมลาตินอเมริกาเข้าด้วยกันเพื่อต่อสู้กับสเปนในศตวรรษ 1800 ต่อมาเกิดเหตุการณ์หนึ่งเรียกว่าคารากัสโซ (Caracazo) ซึ่งเราพบเรื่องนี้ได้เวลาเราอ่านขบวนการต่อต้านไอเอ็มเอฟ เพราะเป็นเหตุการณ์ต่อต้านครั้งใหญ่สุด ตอนนั้น เวเนซูเอลาขึ้นราคารถสาธารณะ ประชาชนต่อต้านไอเอ็มเอฟ เพราะเป็นเงื่อนไขที่ไอเอ็มเอฟสั่งการมา คารากัสอยู่ในหุบเขา ดังนั้นคนรวยอยู่ในหุบเขา คนจนอยู่บนไหล่เขา การต่อต้านคือคนจนเดินขบวนออกมาล้อมคนรวยในหุบเขา แต่ก็เกิดความเสียหายค่อนข้างมาก ชาเวซรู้สึกว่าถูกผู้นำใช้เพราะเป็นทหาร ถูกสั่งให้ฆ่าประชาชน เหตุการณ์นั้นทำให้ทหารหลายคนรู้สึกว่าถูกผู้นำใช้
ในปี 1992 (2535) ชาเวซก่อรัฐประหาร โดยเพื่อนทหารร่วมกัน ซึ่งเกือบจะประสบความสำเร็จ แต่ศูนย์กลางประกาศว่าไม่สามารถคุมคารากัสได้ ดังนั้นจึงต้องยอมมอบตัวต่อรัฐบาล ชาเวซได้รับอนุญาตให้ใช้เวลาของโทรทัศน์บอกให้ทุกคนวางอาวุธ ซึ่งเขาประกาศได้ แต่เขาก็บอกด้วยว่าโอกาสมันจะยังมีอีกในเบื้องหน้า เหตุการณ์นั้น เขาได้สร้างความหวังให้ประชาชน เมื่อถูกปล่อยจากคุก ในปี 1998 (2542) ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงในเวเนซูเอลา
ชาเวซกับพวกพ้อง ร่างรัฐธรรมนูญ มีการปฏิรูปที่ดิน มีการจัดบริการทางสังคมใช้ทหารเป็นตัวนำส่งบริการ เปิดบริการของทหารให้คนจนมารักษาพยายาล ปฏิรูประบบสาธารณสุข แต่ปรากฎว่าหมอและพยาบาลต่อต้าน เพราะการปฏิรูปเน้นไปที่การบริการคนยากจน ดังนั้นสิ่งที่เขาทำคือ ยกหูโทรศัพท์พูดกับฟิเดล คาสโตร ของคิวบาเพื่อขอหมอมาช่วย ดังนั้น คาสโตรจึงส่งหมอมาช่วย และให้บริการสาธารณสุขมูลฐานในชนบท ดังนั้นเราจึงเห็นแล้วว่าผลกระทบเป็นอย่างไรบ้าง และก็มีคนโวยวายว่าเวเนซูเอลาถูกบุกโดยคิวบาจากการที่หมอเข้ามาในประเทศมากมาย
พัฒนาการที่น่าสนใจคือ หลังจากมีการรัฐปฏิหารต่อต้านชาเวซ เขารอดมาได้เพราะคนจนตามไหล่เขาลงมาช่วย ขณะนั้นคนนึกว่ารัฐประหารสำเร็จแล้ว แต่ปรากฎว่าคนจนลงมาแล้วเรียกร้องให้ชาเวซเป็นประธานาธิบดีต่อไป คนทำรัฐประหารจึงกลัว หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาจึงเป็นประธานาธิบดีต่อไป
ชาเวซเป็นประชานิยม แต่ก็มีความขัดแย้งหลายอย่าง แม้ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีคนคัดค้านว่ามีการฉ้อฉล ประธานาธิบดี จิมมี่ คาเตอร์ ของสหรัฐอเมริกา พยายามตรวจสอบการเลือกตั้งในแต่ละประเทศ เขายืนยันว่าเป็นการเลือกตั้งที่สะอาด
ชาเวซอาจไม่ใช่คนที่เป็นอำนาจนิยม แต่เขาใช้วิธีการค่อนข้างรวมศูนย์ ไม่วางใจในพรรคการเมือง เพราะว่าที่ผ่านมาคอรัปชั่นมากมาย สถาบันเดียวที่ช่วยเขาได้คือสถาบันทางทหาร เขาไม่เชื่อทั้งสถาบันทางศาสนาและพรรคการเมือง เขาเชื่อว่าสถาบันทหารเป็นสถาบันเดียวที่ไม่ทุจริต เขาใช้โอกาสในการรวบอำนาจทางทหาร จัดการกับคนที่ไม่เห็นด้วยประมาณ 100 คนในปี 2002 (2545) ทหารเหล่านี้มีเส้นสายติดต่อกับรองกลาโหมของสหรัฐอเมริกา และถูกสั่งให้ลาออกไป เพื่อตัดการโยงใยกับกลาโหมสหรัฐอเมริกา
ทหารได้ช่วยในปฏิรูปที่ดิน สร้างคลีนิค ช่วยเรื่องสาธารณสุข โดยมีหมอจากคิวบา กำลังสำรองนี้เรียกว่าเป็นกองกำลังโบลิวาเลียน ทางฝ่ายผู้วิพากษ์วิจารณ์บอกว่านี่คือการทำให้เวเนซูเอลาเป็นรัฐทหาร ส่วนผู้สนับสนุนบอกว่านี่คือการให้ทหารรับใช้สังคม ดังนั้น คุณจะเห็นว่ามีความแตกต่างทางความคิด
ในมุมมองของสหรัฐอเมริกาและอภิสิทธิ์ชน ชาเวซอันตรายเพราะสองประการ หนึ่ง ชาเวซกระตือรือล้นในการปฏิรูป สองเขาเป็นคนควบคุมแหล่งน้ำมัน และใช้มันทั้งในการบริการสังคมและสร้างพันธมิตรกับต่างประเทศ เพราะเขาเป็นผู้สนับสนุนตัวยงกับรัฐบาลในโลกที่สาม แม้กระทั่งรัฐบาลบางรัฐบาลที่เราอาจจะไม่ชอบ เช่น รัฐบาลลิเบีย และรัฐบาลซัดดัม ฮุดเซนในอิรัก แต่ชาเวซเคารพกระบวนการประชาธิปไตย ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะล้มล้างเขา นี่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับฝ่ายขาวและสหรัฐอเมริกาซึ่งไม่สามารถใช้ข้ออ้างความไม่เป็นประชาธิปไตยในการล้มล้างเขาได้
ชาเวซได้รับการสนับสนุนจากภายในและจากทหารเอง ในนิตยสาร Foreign Policy จะพูดถึงชาเวซในแง่ของนักอำนาจนิยมที่แข่งขัน (competitive autocrat) ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหมายความว่าอย่างไร อาจหมายความว่าเป็นนักอำนาจนิยม แต่เข้าแข่งขันในการเลือกตั้ง ฝ่ายขวาจะมองว่าเขาเผด็จการ
นโยบายของเขาตอนนี้ ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะตอบโต้อย่างไร เขาสามารถที่จะโต้ได้ ดังนั้นเขาใช้นโยบายแข็งในการต่อต้านหรือตอบโต้สหรัฐอเมริกาในการสร้างฐานความนิยมในประเทศ เขาพยายามที่จะหยุดยั้งการครอบงำของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเรื่อง FTAA (เขตการค้าเสรีทวีปอเมริกา) ซึ่งเป็นการขยายออกจาก NAFTA (เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ) ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นคนพยายามผลักดัน
เขาพยายามตั้ง ALBA (Bolivarian Alternatives for the Americas) แต่ก่อนที่จะไปถึง ALBA ทำไมชาเวซถึงถึงได้ประสบความสำเร็จนัก
ส่วนหนึ่งคือ สหรัฐอเมริกาติดหล่มในอิรักมาก ไม่สามารถเข้ามาตรวจสอบความเคลื่อนไหวในลาตินอเมริกาได้ทันทีทันควัน และเพราะสหรัฐอเมริกากำลังแพ้สงครามในอิรักและค่อนข้างอ่อนแอลงจึงไม่สามารถขู่ลาตินอเมริกาได้ เขาถูกมองว่าเป็นคนที่สามารถโดดเดี่ยวสหรัฐได้ ดังนั้น ผมคิดว่า มันทำให้เข้าใจว่า ถ้าจะมีใครสามารถใช้ประโยชน์จากการที่สหรัฐอเมริกาถูกแช่แข็งในสงครามอิรัก คนๆนั้นคือชาเวซ ดังนั้น การเคลื่อนไหวของเขาจึงมีมิติทางการเมือง
ALBA คือ ทางเลือกสำหรับลาตินอเมริกา เป็นการเลียนคำ เพราะ FTAA ภาษาสเปนเรียก ALCA, ALBA เป็นทางเลือกการค้าของประชาชน ที่คิวบา โบลีเวีย และเวเนซูเอลาร่วมกันลงนาม ในปี 2003 (2546) เวเนซูเอลาจะช่วยนำน้ำมันให้คิวบา คิวบาจะส่งหมอไปเวเนซูเอลาและโบลีเวีย เป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสินค้าและบริการของผู้ลงนามทั้งสามประเทศ สำหรับคิวบา สินค้าส่งออกที่ดีที่สุดคือ หมอ ดังนั้น จึงเป็นการทำให้สินค้าส่งออกเกิดผลบวกในเชิงการเมืองและสังคม
(หมอจากคิวบาระหว่างการเยี่ยมเยียนชานเมืองแห่งหนึ่งในเวเนซูเอลา)
ALBA ไม่ใช่แผนที่มีรายละเอียดมากมายอะไร มันมีองค์ประกอบอื่นๆอะไรบ้าง องค์ประกอบเหล่านั้น คือ
1. Petro Caribe เป็นข้อตกลงว่าประเทศในคาริบเบียนจะได้รับการลดราคาน้ำมันนำเข้า 40% จากเวเนซูเอลา
2. Petro Sur เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าแทนที่จะจ่ายเป็นเงินสด อาร์เจนตินาจะจ่ายเป็นวัวให้เวเนซูเอลา แทนที่จะจ่ายเป็นเงิน โบลีเวียจะซื้อน้ำมันบางส่วนโดยใช้ถั่วเหลืองตามแต่จะตกลง จึงเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน
3. Telesur เป็นเครือข่ายการสื่อสารทางโทรทัศน์ที่ต่อต้านโทรทัศน์ที่คุมการสื่อสารของโลกอย่าง CNN
4. Banco del Sur เป็นความพยายามในการสร้างธนาคารทางเลือกเพื่อทำหน้าที่แทนธนาคาร Inter American Development Bank ซึ่งคล้ายๆกับ Asian Development Bank ในเอเชีย ธนาคารนี้จะถูกก่อตั้งเร็วๆนี้ ในเดือนมกราคมขณะที่ผมอยู่ที่คารากัส ชาเวซบอกว่าเวเนซูเอลาพร้อมจะให้เงิน 5 พันล้าน สำหรับธนาคารทางเลือกนี้ และอีก 5 พันล้านจะมาจากบราซิล ดังนั้นเขาพยายามที่ดึงให้บราซิลมาเข้าร่วมให้ทุน และเป็นไปได้ว่าธนาคารนี้ต่อไปอาจจะเป็นทางเลือกแทนธนาคารโลกก็ได้
มีข้อเสนอที่น่าสนใจในการสร้างท่อก๊าซธรรมชาติยาว 7,000 ไปยังบราซิลและอาร์เจนตินา ขยายจากเวเนซูเอลาและโบลีเวียซึ่งจะสร้างงานให้คนงานได้ล้านคนตลอดเส้นทาง
ชาเวซบอกว่า ALBA นี้ไปไกลกว่าทุนนิยม เป็นวิสัยทัศน์ที่กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ยังคงเป็นส่วนของการริเริ่มอยู่ แต่ชัดเจนคือไม่ใช่การค้าเสรีและไม่เป็นไปตามกติกาของตลาดหรือทุนนิยม
ตอนนี้ อยากที่จะเปรียบเทียบบางประเด็นซึ่งอาจจะแลกเปลี่ยนได้เพิ่มเติม
ผมคิดว่ามีการเปรียบเทียบได้ 2-3 อย่าง เช่น ระหว่างคิชเนอร์และทักษิณว่าทักษิณเป็นประชานิยมหรือไม่ คำตอบของผมคือไม่ เพราะแนวหนึ่งของประชานิยมต้องต่อต้านคนกลุ่มน้อย แต่ทักษิณเป็นตัวแทนของอภิสิทธิ์ชนคนกลุ่มน้อย ดังนั้นวิธีการอาจจะใช่ประชานิยม แต่ตัวทักษิณไม่ใช่
เป็นไปได้แค่ไหนในการตั้งข้อตกลง ALBA ในเอเชีย อาเซียนก่อตั้งตั้งแต่ 1967 (2510) อายุ 35 ปีแล้ว แต่อาเซียนยังคงอ่อนแอ แม้ว่าจะมีเขตการค้าเสรีอาเซียน แต่ก็ยังอยู่ในกระดาษมากกว่า ยังไม่ได้ถูกพัฒนาไปเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ซึ่งผิดกับลาตินอเมริกา เพราะมีการนำเสนอต่อต้านการครอบงำ FTAA มี ALBA เป็นทางเลือกที่ชัดเจน ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่อาเซียนจะมีการผสมผสานการค้าในแนวก้าวหน้าอย่าง ALBA
ท้ายที่สุด ความแตกต่างที่เห็นกับในลาตินอเมริกาคือ ความริเริ่มทางการเมืองเศรษฐกิจไม่สามารถจะถูกนำทางโดยความสัมพันธ์ที่มีกับประเทศมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว เพราะเรายังมีอีก 2 ประเทศที่ต้องระวัง คือ จีน ซึ่งกำลังกลายเป็นประเทศมหาอำนาจและญี่ปุ่นซึ่งแม้ว่าอำนาจทางเศรษฐกิจกำลังถดถอยแต่ก็ยังมีอำนาจมาก ดังนั้นในอาเซียนจึงมีขั้วอำนาจที่ซับซ้อนมากกว่าในลาตินอเมริกา
ดังนั้น เนื่องด้วยเวลามีจำกัด ผมจงขอจบเพียงเท่านี้ แล้วจะได้แลกเปลี่ยน คำตอบหรือคำถาม เกี่ยวกับพัฒนาการในลาตินอเมริกา ปรากฎการณ์ประชานิยมฝ่ายซ้าย บทเรียนสำหรับประเทศไทย และ ALBA ว่ามีนัยยะอย่างไรต่อการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
-----------------------
ช่วงคำถาม คำตอบ
1. การที่ชาเวซสามารถใช้ทรัพยากรน้ำมันเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆที่ผ่านมานั้น มันมีนัยยะการต่อรองกับบริษัทข้ามชาติหรือสหรัฐอเมริกาอย่างไร มีกระบวนการในการได้มาซึ่งการควบคุมอย่างไร และกระบวนการจัดการมีความแตกต่างกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามแนวไอเอ็มเอฟอย่างไร
ตอบ มีสามเรื่อง เรื่องแรกคือ วิสาหกิจน้ำมัน เหมือนรัฐหนึ่งของตัวมันเอง ดังนั้นเขาจึงคุมได้ ดังนั้นหลังจากรัฐประหารที่คนจะล้มล้างเขา แล้วเขาสามารถกลับเข้ามาอยู่ในอำนาจใหม่ได้ เขาสามารถจะไล่ผู้บริหารออกได้หลายพันคน ดึงให้วิสาหกิจน้ำมันอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเองได้ อีกปัจจัยคือ เวเนซูเอลามีบทบาทในโอเปค ประมาณ 30% ของการนำเข้าน้ำมันของสหรัฐอเมริกามาจากเวเนซูเอลา ดังนั้นเขาสามารถที่จะขู่สหรัฐอเมริกาได้ แล้วเขาก็พูดออกมาว่าถ้าสหรัฐอเมริกายังทำอย่างนี้ต่อไปจะไม่ขายน้ำมันให้ สหรัฐอเมริกามีรายงานออกมาว่าถ้าไม่ได้น้ำมันจากเวเนซูเอลาย่อมจะมีผลทางยุทธศาสตร์ที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นเวเนซูเอลาจึงเป็นผู้นำในการเริ่มขบวนการมีอิทธิพลในโอเปค โดยเฉพาะการกำหนดราคา เพราะราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ เพราะชาเวซบอกว่าน้ำมันราคาต่ำเกินไปมาเป็นเวลานานแล้ว จากการถูกกดดันจากสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ถ้าเราเป็นอิสระจากสหรัฐอเมริกา เราสามารถกำหนดราคาตามที่มันควรจะเป็นได้ ดังนั้น น้ำมันเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาเวซ ไม่ใช่ทุกประเทศทำได้ เพราะประเทศส่วนมากไม่มีทรัพยากรน้ำมันที่จะใช้ได้
ชาเวซพยายามทำให้น้ำมันของเวเนซูเอลาให้ประชาชนใช้มากขึ้นและให้ประเทศบางประเทศ เช่น จีน ซึ่งต้องการมีความสัมพันธ์ทางการเมืองและต้องการน้ำมันได้เข้าถึงน้ำมันได้ ในส่วนของโบลีเวีย การยึดคืนน้ำมัน ในความเข้าใจผม คือทั้งบริษัทเอกชนและโบลีเวีย และบริษัทต่างด้าวต้องดำเนินการภายใต้สัญญาสัมปทาน ทำให้รัฐบาลควบคุมการใช้แก็ซและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆได้อย่างเต็มที่
2. ประธานาธิบดีชาเวซในด้านหนึ่งไม่มีความเชื่อมั่นในพรรคการเมือง แต่ในอีกด้าน เขาเคารพในระบอบประชาธิปไตย แต่ระบอบประชาธิปไตย ต้องมีพรรคการเมือง ใช้อำนาจผ่านพรรคการเมือง ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน
ตอบ เป็นคำถามที่น่าสนใจ มีพรรคการเมืองในเวเนซูเอลา สองพรรคที่อยู่ในอำนาจมานาน ชาเวซ มองว่าสองพรรคนี้เป็นพรรคของคนรวยซึ่งนำความทุกข์มาให้กับคนจน ส่วนพรรคฝ่ายซ้ายเขาคิดว่ายึดในอุดมการณ์มากไปและแบ่งเป็นสายต่างๆ ดังนั้นจึงมีปัญหาในแง่ของการแบ่งแยกทางอุดมการณ์ซึ่งเขาไม่เห็นด้วย จริงๆมีขบวนการที่หนุนหลังเขา แต่เขาต้องการแค่ให้เป็นขบวนการเคลื่อนไหว ไม่ต้องการให้พัฒนาขึ้นพรรคการเมือง ดังนั้นคนจึงถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการปฏิวัติของคุณ เพราะว่ามันจะขึ้นอยู่กับความคิดของคุณว่าจะทำอะไร ทำอย่างไรจะให้เกิดสถาบันทางการเมืองที่ให้มีผลระยะยาว ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อนหนึ่งที่คนมองเห็นในนโยบายของชาเวซ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีสถาบันที่แน่นอนมารองรับ
คนมองว่าถ้าซีไอเอสำเร็จในการสังหารชาเวซก็จะล้มเหลวทั้งหมด เนื่องจากในเวเนซูเอลาทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่เขา การปฏิบัติโบลีวาเรียนก็จะจบไป ผมอาจจะไม่เห็นด้วยถึงขนาดนั้น แต่มันก็เป็นปัญหา
ชาเวซเป็นคนที่มีบารมีมากกับคนจนในสลัมและในเมือง เขามีความสัมพันธ์ ออกรายการโทรทัศน์เป็นประจำเพื่อให้การศึกษากับคนเหล่านี้ ดังนั้นจึงเป็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างเขากับประชาชนโดยไม่ผ่านพรรคการเมือง อีกอย่างคือว่าเขาสามารถหลีกเลี่ยงการท้าทายของฝ่ายขวาได้เพราะว่าทำให้ขบวนเคลื่อนไหวเหล่านี้เข้ามาร่วมการเลือกตั้งในประชาธิปไตย เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นการแบ่งแยก เพราะคนจำนวนมากไม่อยู่ในรายชื่อผู้เลือกตั้ง สิ่งที่ชาเวซทำฉลาดมาก คือ พยายามดึงคนลงทะเบียนมาเป็นคนเลือกตั้ง รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยในเวเนซูเอลามาเป็นเวลานาน ดังนั้น ที่น่าสนใจ ที่เราเห็นคือการขยายของจำนวนคนที่มีสิทธิในการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงเป็นพัฒนาการทางประชาธิปไตยที่น่าสนใจ ดังนั้นสิ่งที่พรรคขวากำลังจับตา คือ เขาจะทำผิดรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่
3. มีกระแสที่ไม่เอาซ้ายในลาตินอเมริกา เช่น ในเปรู คนสนิทกับชาเวซก็แพ้ ในเม็กซิโก ผู้รับสมัครฝ่ายซ้ายก็มีแนวโน้มเหมือนกันเพราะว่าสนิทกับชาเวซ คิดว่าจะมีประเทศไหนอีกหรือไม่ที่จะมีแนวปฏิวัติทางซ้ายต่อจากโบลีเวีย และอยากให้วิเคราะห์ต่อว่าเมื่อมีการเปลี่ยนประเทศแล้ว กระบวนการภาคประชาชนแข็งแรงต่อหรือเปล่า เพราะเคยได้ยินมาว่าโมลาเลสในโบลีเวียยึดบริษัทน้ำมันได้จริงเพราะประชาชนมีความแข็งแกร่ง
ตอบ ในเรื่องประชาสังคม กรณีเวเนซูเอลา ค่อนข้างอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เรื่องที่ดิน หรือเรื่องน้ำ ยังไม่มีการจัดตั้งการต่อสู้มากเท่ากับในไทยหรือในฟิลิปปินส์ ดังนั้นจึงเป็นการจัดตั้งพรรคการเมืองแบบมวลชนมาโดยตลอด มีคนชี้ว่า ชาเวซไม่ได้พยายามในการสร้างฐานประชาสังคมที่มั่นคง ผมคิดว่าใช่ และก็ใช่ที่ว่าในโบลีเวีย โมลาเลสมีขบวนการของคนที่สนับสนุนการปลูกใบโคคา มีการต่อสู้การครอบงำบริษัทข้ามชาติ ทั้งน้ำมัน แก็ซ มีกลุ่มชาวนาที่ต่อต้านการทำลายล้างไร่โคคา ซึ่งเป็นการท้าทายฝ่ายขวามาตลอด ทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีผ่านการเลือกตั้งได้
ชาเวซถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงในการเมืองประเทศอื่น เช่น เปรูและเม็กซิโก เป็นข้อกล่าวหาที่ฝ่ายขวายกขึ้นมาโจมตีชาเวซได้ว่าใกล้กับโอเปรดอนเม็กซิโก ในเปรูที่เขาแพ้ไปก็เป็นคนที่ชาเวซประกาศสนับสนุน ดังนั้นจึงเป็นปฏิกริยาตอบโต้ชาเวซ ซึ่งอาจจะเกิดกับเม็กซิโกก็ได้ เพราะว่ามีความกลัวกันว่าชาเวซจะมีอำนาจมากเกินไปในประเทศต่างๆ อีกอย่าง คือ ชาเวซเป็นคนพูดมาก พูดตลอดเวลา ขี้โม้ ดังนั้น เป็นจุดอ่อนของเขา อย่างเช่น ในเปรู เขาถูกกดดันว่าจะต้องระวังคำพูด ไม่เช่นนั้น พรรคการเมืองจะคิดว่ามีการแทรกแซงการเมืองในประเทศของตน ชาเวซมองว่าละตินอเมริกาก็คือลาตินอเมริกา พูดภาษาเดียวกัน ดังนั้นจะพูดสนับสนุนใครก็ได้ แต่แน่นอนว่ามันมีชาตินิยมอยู่ด้วย ดังนั้นอาจถูกการโต้กลับได้
นักการเมืองชื่อ อลัน การ์เซีย ในเปรู เป็นผู้ที่ปฏิเสธหนี้ของเปรูในช่วง 1970 (2513) พยายามโต้ตอบคัดค้านไอเอ็มเอฟ แต่มีชื่อเสียในคอรัปชั่น เขาเป็นผู้ชนะที่เปรู ซึ่งจริงๆก็มาจากฝ่ายซ้าย
เม็กซิโกเป็นจุดยุทธศาสตร์มากสำหรับสหรัฐอเมริกา เพราะว่าถ้าโลเปรสได้รับการเลือกตั้ง จะมีการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์อย่างมหาศาลกับอเมริกา ถ้าเขาได้รับเลือกตั้ง สหรัฐอเมริกาจะกังวลมาก คิดว่าตอนนี้มีกระบวนการที่พยายามล้มล้างเขาจากอเมริกา
4. อาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนผ่านหรือเปล่า ไปสู่อะไร ถ้าประเทศเดียวในลาตินอเมริกาเปลี่ยนคงไม่เกิดอะไรเท่าไร แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกคลื่น อาจจะเข้าสู่กลไกในภูมิภาค เรื่อง competitive autocrat ไม่ใช่สัญญาณที่ดีในระยะยาว การต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและบริษัทช้ามชาติมันชัดเจนทำให้ชาตินิยมลงหลักปักฐานภายใน เป็นไปได้หรือไม่ว่าชาตินิยมมันมากเสียจนไม่เกิดความเคลื่อนไหว เช่น การต่อสู้เรื่องที่ดิน ไม่เกิดการสู้รบภายใน อยากตั้งข้อสังเกตว่าเสรีนิยมใหม่พยายามลงรากในลาติน แต่ทำไม่ได้ อาจจะมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำอย่างมาก และบทบาทของสหรัฐอเมริกาชัดเจนมากเกินไป ขณะนี้ เสรีนิยมเกิดขึ้นในทุกอณู กรณีที่เกิดกับลาตินไม่น่าจะเกิดในเอเชีย
ตอบ หลายคนผิดหวังสิ่งที่เกิดในบราซิล เพราะคนคาดว่าจะมีการนำนโยบายฝ่ายซ้ายขึ้นมา เพราะประธานาธิบดีลูลาเป็นตัวแทนของคนจนที่มาจากฝ่ายแรงงาน เมื่อเห็นว่าลูลาจะขึ้นมามีอำนาจ คนหลายกลุ่มทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ นักวิชาชีพก็เข้ามารวม ทำให้พรรคของลูลามีหลายหน้ามากขึ้น จากเดิมเป็นพรรคแรงงาน คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับอภิสิทธิ์ชนในบราซิล ดังนั้นพลังฝ่ายขวาที่เข้ามาในพรรคการเมืองจึงถ่วงดุลไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป สร้างอิทธิพลของตัวเองเพิ่มเรื่อยๆในพรรคการเมือง หลายคนบอกว่าคนเหล่านี้นำนโยบายเสรีนิยมเข้ามาด้วยซ้ำไป อีกปัจจัยหนึ่งคือ มีความกลัวว่าถ้าลูลามาเป็นประธานาธิบดี จะที่การไหลออกของทุน ดังนั้น เขาจึงให้สัญญากับไอเอ็มเอฟว่าจะเคารพตามเงื่อนไขไอเอ็มเอฟที่ประธานาธิบดีคนก่อนลงนามไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เมื่อมามีอำนาจ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ยังมีการว่างงานในระดับสูง และการทำตามนโยบายไอเอ็มเอฟก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา
ในทางการค้า รัฐบาลลูลาพยายามผลักดันธุรกิจการเกษตรของบราซิล ดังนั้นจึงน่าแปลกว่าขึ้นสู่อำนาจโดยมวลชน แต่กลับถูกครอบงำโดยฝ่ายขวา ขณะนั้นคนมองว่าเป็นยุคทองของบราซิล แต่ตอนนี้ลูลา กลายเป็นเพื่อนของประธานาธิบดีบุชไปแล้ว
ถ้าเราดูลาตินอเมริกา มันก็เป็นอย่างเดียวกับประสบการณ์ของประเทศโลกที่สาม ในช่วงทศวรรษ 1970 (2513) แทบทุกประเทศเป็นเผด็จการ และหลังจากนั้นก็มีขบวนการประชาธิปไตย ผู้นำประชาธิปไตยแบบเสรี คือผ่านการเลือกตั้งขึ้นมา เป็นการแข่งขันระหว่างอภิสิทธิ์ชนด้วยกัน จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมืองและปฏิรูปน้อยมากตั้งแต่ 1980 (2523) เป็นต้นมา ลัทธิประชานิยมในลาตินอเมริกาจึงเป็นปฏิกิริยาโต้กลับเสรีนิยม ในฟิลิปปินส์ หลังปี 1986 (2529) ที่เอามาร์คอสออกไปได้ ประชาธิปไตยเป็นเสรีนิยมล้มเหลวมาก เราอาจจะบอกว่าประชาธิปไตยของไทยหลัง 1992 (2535) ก็ไม่สามารถปฏิรูปทางสังคมเศรษฐกิจ การเมืองได้
ผู้นำในลาตินอเมริกา ไม่ใช่จะล้มล้างประชาธิปไตย ทุกคนเคารพในประชาธิปไตย แต่ข้อบกพร่องคือไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมให้มากกว่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดกับ
ประชาธิปไตยแบบพรรคการเมืองได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและประชาชนที่เลือกเขาขึ้นมา ยังเป็นความสัมพันธ์โดยตรง เหมือนจักรพรรดินโปเลียน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นอันตราย ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เราต้องการ
5. ที่อาจารย์พูดเป็นบทบาทของผู้นำมาก การที่จะทำอย่างชาเวซ เช่น ธนาคารและสื่อทางเลือก ต้องมีบุคลากรจำนวนมากที่จะปฏิบัติได้ และคนเหล่านี้คงไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เปลี่ยนผู้นำ อยากทราบถึงบทบาทของคนเหล่านี้มากขึ้น และมีการสร้างคนอย่างไร
ตอบ เรามีผู้นำที่มองตัวเองว่ากำลังทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ไม่มีใครสงสัยถึงความจริงใจของชาเวซ หรือโมลาเลส แต่คำถามที่ถามคือ เขาจะเอาประชาชนเข้ามาร่วมในการดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันหรือเปล่า ยังเป็นคำถามในใจของทุกคน ประชาธิปไตยต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้เป็นสถาบัน เพราะสิ่งที่เราต้องการเห็นคือ ผู้นำเหล่านี้ทำให้ประชาชนไม่ต้องพึ่งพาเขาเพียงอย่างเดียว มีคนเสนอสิ่งนี้ให้กับชาเวซเยอะ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนี้ อาจจะเป็นผู้นำของประชานิยมก็ได้ แม้ว่าจะมีความจริงใจและหัวก้าวหน้า แต่จะดึงดันที่จะไม่ฟังหรืออยากฟังเฉพาะ ข่าวดี ถ้าเรามีโอกาสที่จะพบชาเวซ เราอย่าพลาดโอกาสที่จะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะคนรอบข้างมักจะป้อนคำหวานให้แก่เขา ถ้าผมมีเวลาหนึ่งนาทีกับชาเวซ ผมจะบอกว่าเขาทำอะไรที่ผิดบ้าง
เมื่อครั้งที่ผมเจอกับชาเวซ ผมบอกกับชาเวซในกรณีที่เกิดขึ้นที่ฮ่องกงกับการประชุมองค์การการค้าโลกว่าเห็นได้ชัดว่าท่านหักหลังขบวนการสังคมโลก โดยการให้ความสัมพันธ์กับบราซิลสำคัญกว่าผลประโยชน์ของประชาชน เพราะรอบโดฮาเป็นรอบที่แย่มาก ทุกคนรู้ดี แต่บราซิลอยากให้จบเนื่องจากต้องการผลักดันธุรกิจการเกษตรของตนและบทบาทของเวเนซูเอลาไม่แข็งในการเจรจาที่ฮ่องกงเลย ดังนั้นจึงขอให้ท่านมีจุดยืนที่แข็งในเจนีวา ซึ่งเขาไม่ได้ตอบอะไร ประเด็นที่ผมพยายามชี้คือ มันสำคัญสำหรับผู้นำประชานิยมเหล่านี้ที่ขบวนการสังคมจะต้องเสนอข้อวิจารณ์ต่อผู้นำเหล่านี้ให้มากที่สุด
6. มีการพูดถึงคิวบาหรือไม่ มีอะไรเป็นมิติใหม่ๆที่จะส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์กับอเมริกา
ตอบ การโดดเดี่ยวคิวบาของสหรัฐอเมริกาถูกทำลายลง เพราะการสร้างพันธมิตรระหว่างเวเนซูเอลาและคิวบา ดังนั้น ในข้อตกลงที่เรียกว่าข้อตกลงประชาชนระหว่างคิวบา โบลีเวีย และเวเนซูเอาลา เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ที่แสดงว่าประเทศในลาตินอเมริกาต้องการดึงคิวบาเข้ามาร่วมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ดังนั้น ผู้รับผลกระทบในที่นี่คือนโยบายสหรัฐอเมริกาที่ต้องการโดดเดี่ยวคิวบา อีกประการหนึ่งที่ชัดเจน คือ เขาประกาศตลอดเวลาว่าคาสโตรเป็นพ่อของเขาไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร
7. ถ้าเราจะทำ ALBA ในอาเซียน เราจะเริ่มอย่างไร
ตอบ ในสหภาพยุโรปชัดเจนว่าจะมีการสร้างตลาดร่วมกัน ปกป้องตลาดภายใน แต่อาเซียน ยังไม่เคยตกลงกันได้ว่าจะเป็นอะไร ดังนั้นจึงมีแรงจูงใจสำหรับอาเซียน ในการผสมผสานค้าขายกันเอง ปรากฏว่าคนที่ได้ประโยชน์คือ ญี่ปุ่น คือ ค้าขายกันเองแต่เป็นสินค้าญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือสินค้าอิเล็คโทรนิค เราให้ญี่ปุ่นผสมผสานการค้าขายในภูมิภาคของเราภายใต้ผลประโยชน์ของญี่ปุ่น ดังนั้น ถึงบอกว่าเรามีกระบวนการที่อ่อนแอมากในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและธุรกิจด้วยกันในภูมิภาคผมคิดว่านี่เป็นภาระของเราที่จะทำให้อาเซียนเปลี่ยนกรอบจากการค้าเสรีไปเป็นสมาคมทางการค้าโดยมีการผสมผสานและเข้าร่วมของประชาชนในการตัดสินใจ มีการแบ่งงานกันทำในภูมิภาคตามความถนัดและระดับเทคโนโลยี อภิสิทธิ์ชนของอาเซียน ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องร่วมมือใดๆกัน เพราะคิดแต่ว่าเราจะเจาะตลาดคนอื่นโดยปิดตลาดเราได้อย่างไรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือปัญหาใหญ่ของความร่วมมือ ดังนั้น 35 ปีที่ผ่านมาจึงไม่มีการผสมผสานทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถแข่งกับจีนได้ ขณะนี้เราควรจะพยายามเคลื่อนไปข้างหน้า มิเช่นนั้นเราจะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจของจีน
8. กรณีผู้นำลาตินที่ปฏิเสธอำนาจของอเมริกาและจะขับไล่อำนาจของบริษัทข้ามชาติ คิดว่าการเมืองในลาตินจะเป็นไปได้แค่ไหนในการหลุดพ้นจากอำนาจของอเมริกา
ตอบ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ที่มันต่างจากโครงการอื่นที่ผ่านมา เพราะว่าได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากเวเนซูเอลา สิ่งเดียวที่เราเชื่อได้คือ เวเนซูเอลามีทรัพยากรน้ำมัน ที่ชาเวซสามารถใช้เพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
9. ความคิดที่มีต่อเศรษฐกิจทางเลือกคือ เราต้องกลับไปยังรากเหง้าของปัญหา คือธรรมชาติของมนุษย์ Good governance เป็นปัจจัยใหญ่ในการสร้างระบบทางเลือกขึ้นมา เพราะผุ้นำส่วนมากมีอัตตาสูง อยากฟังว่ามีความเห็นต่อระบบเศรษฐกิจทางเลือก ควรจะไปอย่างไร แล้วจะมีความยั่งยืน ทำได้อย่างไร อีกอย่าง คือ ในขบวนการประชาชน ทักษิณไม่ได้รับความนิยมเท่าเดิมแล้ว แต่ว่ายังมองว่าเขาได้นำเสนอความเป็นผู้ประกอบการไปสู่คนชนบท ซึ่งมองว่าเป็นจุดอ่อนของสังคมไทยอยู่แล้ว เพราะไม่มีหัวการค้า ดังนั้นระบบโอท็อปที่นำเข้ามาพัฒนาผู้ประกอบการนั้นเป็นปัจจัยทางบวกซึ่งยังอยากจะเห็นอยู่
ตอบ ผมไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดในเรื่องการสร้างผู้ประกอบการของทักษิณว่าเป็นจริงแค่ไหน แต่ประการหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ ไม่ว่าทักษิณจะทำอะไรที่ผิดพลาดไป แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นทางบวกคือ เมื่อเขารับตำแหน่งนายก เขานำนโยบายกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่ต่อต้านไอเอ็มเอฟ เป็นตามแนวเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ซึ่งไอเอ็มเอฟไม่ชอบ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องการในตอนนั้น ผมจำได้ว่า เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทักษิณบอกว่าไทยได้ประกาศเป็นอิสระจากไอเอ็มเอฟ ใช่ไหม น่าสนใจเหมือนกัน สองเดือนก่อน รัฐบาลบราซิลและอาร์เจนตินาคืนเงินกู้ทั้งหมดให้กับไอเอ็มเอฟและก็ประกาศว่าเป็นอิสระจากไอเอ็มเอฟ และสามอาทิตย์ก่อน รัฐบาลอินโดนีเซียจะตามประเทศอื่นๆเพื่อเป็นอิสระจากไปเอ็มเอฟ โดยจะจ่ายหนี้คืนทั้งหมดภายใน 2 ปี ดังนั้น ถ้าจะถามว่ามีเรื่องบวกอะไรที่เกิดขึ้นในระบอบที่คอรัปชั่นอย่างนี้บ้าง ผมก็จะบอกว่า อย่างน้อยในช่วงต้น ก็คือการประกาศเป็นอิสระจากไอเอ็มเอฟ
10. เราเห็นประชานิยมในภูมิภาคนี้คล้ายกับสิ่งที่เกิดในลาตินอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพ ความสามารถในการเชื่อมกับประชาชนในระดับล่าง นักเศรษฐศาสตร์อาจวิจารณ์ระบบประชานิยมว่าเกี่ยวข้องกับการขาดวินัยทางการคลัง การใช้จ่ายเกินตัว อย่างไรก็ตามในลาตินอเมริกามีการปฏิรูปโครงสร้างซึ่งในบ้านเราไม่มี อยากถามว่าในลาตินอเมริกามีการปฏิรูปที่ดินหรือไม่ มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมหรือไม่
ตอบ สิ่งที่เกิดในไทย คือ มีคำประกาศมากมายที่ดูเหมือนเป็นประชานิยม แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเองมากกว่า สิ่งที่ประเทศไทยมี คือ เป็นการนำประชานิยมไปใช้เป็นกลไกในการส่งเสริมผลประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งซึ่งจะต่างไปจากที่เราจะเจอในลาตินอเมริกา เช่น ในเวเนซูเอลาจะมีนโยบายต่อต้านอภิสิทธิ์ชนอย่างชัดเจน และมีนโยบายทางภาษีและปฏิรูปที่ดินเพื่อกระจายทรัพยากรไปสู่คนจน ซึ่งไม่เห็นเลยว่าทักษิณจะนำนโยบายเช่นนี้มาใช้
*งานบรรยายนี้จัดโดยศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา (โฟกัส) เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2549