โบลีเวีย VS ไทย: จุดยืนเอฟทีเอใครเจ๋งกว่ากัน

โดย  กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน(FTA Watch)

ในประเทศไทย  เวลาคนพูดถึงข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ เขากำลังหมายถึงการขยายตัวทางการค้า การขยายตัวการส่งออก การขยายตัวการลงทุนจากต่างประเทศ  การจำกัดบทบาทรัฐ  การให้สิทธิเอกชน  และการเพิ่มการบริโภคของประชากร  

นานๆครั้งเขาจึงจะหมายถึง การขยายการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนา  น้อยครั้งมากที่จะเขาจะหมายความไปถึง การรักษาสิ่งแวดล้อม  การปรับปรุงคุณภาพการจ้างงาน การขยายการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชน  การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ  และ การรักษาและเสริมสร้างความมั่นคงและความพอเพียงในการผลิตอาหารเลี้ยงตนเอง

ในประเทศไทย  เวลาคนพูดถึงข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ เขากำลังหมายถึงการขยายตัวทางการค้า การขยายตัวการส่งออก การขยายตัวการลงทุนจากต่างประเทศ  การจำกัดบทบาทรัฐ  การให้สิทธิเอกชน  และการเพิ่มการบริโภคของประชากร  

นานๆครั้งเขาจึงจะหมายถึง การขยายการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนา  น้อยครั้งมากที่จะเขาจะหมายความไปถึง การรักษาสิ่งแวดล้อม  การปรับปรุงคุณภาพการจ้างงาน การขยายการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชน  การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ  และ การรักษาและเสริมสร้างความมั่นคงและความพอเพียงในการผลิตอาหารเลี้ยงตนเอง

 

ใน “โลกาภิวัตน์แบบไม่ผูกขาดฯ” ฉบับที่สองนี้  จะขอนำท่านผู้อ่านไปแวะเวียนแถวละตินอเมริกาอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปยังประเทศโบลิเวีย  โบลิเวียได้สร้างนวัตกรรมใหม่ในการเจรจาการค้าที่แหวกม่านประเพณีของการเจรจาเอฟทีเอแบบเดิมๆที่ผ่านมา  โดยการกำหนดจุดยืนของตนเองที่มีรายละเอียดหลายอย่างที่น่าสนใจ  และเพื่อให้เห็นความแตกต่างในวิธีคิดและแนวทาง  จึงได้นำบางส่วนของเอกสารรายงานจุดยืนหรือยุทธศาสตร์ในการเจรจาการค้าของไทยซึ่งได้มาจากเว็บไซด์ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาแสดงประกอบข้างล่างด้วย 
 
ยุทธศาสตร์การทำเอฟทีเอของไทย

 

 

เป้าหมาย   
เพื่อสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสในการส่งออก และปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

ยุทธศาสตร์การเจรจาเอฟทีเอ
เพื่อรักษาตลาดเดิมที่เป็นตลาดหลักของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น และและขยายตลาดใหม่ทั้งในแนวกว้างและเจาะลึกในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ตลาดที่เป็นประตูการค้าในภูมิภาคอื่นๆ  เช่นบาห์เรนในตะวันออกกลาง เปรู ในทวีปเอมริกาใต้ เป็นต้น
 พิจารณาเตรียมความพร้อมในการทำเอฟทีเอก้าวต่อไป กับ สหภาพยุโรป แคนาดา แอฟริการใต้ ชิลี เม็กซิโก เกาหลี กลุ่ม เมอร์โคซัว (Mercosur) และเอฟต้า (EFTA) เป็นต้น

 

 

ยุทธศาสตร์รายสาขา ที่สำคัญมีดังนี้
(1) เกษตร
- เน้นอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป
- สินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหว ให้เจรจาโดยมีเวลาในการปรับตัวที่นาน
- สินค้าเกษตรและอาหาร จะมีปัญหาเรื่องมาตรฐานด้านสุขอนามัยมาก ความปลอดภัยด้านอาหาร และสิ่งแวดล้อม ให้เจรจาลด/ยกเลิก หรือปรับไม่ให้เป็นอุปสรรค ขณะเดียวกันให้พัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล มีความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกด้านการค้าโดยการทำ MRA และ การถ่ายทอดเทคโนโลยี
- กำหนดมาตรฐานการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบที่ต้องนำเข้ามาแปรรูปเพื่อการส่งออกให้ได้มาตรฐาน และปลอดภัย

 

(2) อุตสาหกรรม  
- เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายในการส่งออกของไทย และกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีการร่วมลงทุนผลิตที่เป็นเครือข่ายการผลิต (production network) สาขาที่สำคัญ ที่ไทยมีศักยภาพมาก ได้แก่ แฟชั่น (เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
 เครื่องประดับ รองเท้า)  ยานยนต์และชิ้นส่วน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสินค้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ในบ้าน และของแต่บ้าน
- มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานสินค้า (TBT) สิ่งแวดล้อม ให้เจรจาลด/ยกเลิก หรือปรับไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการค้า พัฒนาการผลิตภายในประเทศให้ได้มาตรสากล และจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (MRA)
- การเจรจากำหนดเงื่อนไขกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ต้องสะท้อนสภาพการผลิตในประเทศ และในประเทศต้องปรับการผลิตอุตสาหกรรมต้นน้ำให้มากขึ้น

(3)   บริการ
- เปิดเสรีแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้วิธีเจรจาแบบเลือกเปิดเสรีเฉพาะรายสาขา (positive-list approach)
- เน้นธุรกิจบริการที่มีความพร้อม  เช่น ท่องเที่ยว สุขภาพ ก่อสร้างออกแบบ
- สนับสนุนธุรกิจที่มีอนาคต เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) การขนส่ง (logistics) บันเทิง ซ่อมบำรุง
- กลุ่มธุรกิจบริการที่ยังไม่พร้อม เช่น ธนาคาร ประกันภัย โทรคมนาคม ขนส่ง ให้มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน (transition period) 10 ปี

(4)   ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า 
- เน้นระดับการคุ้มครองภายใต้ความตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้าในองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นหลัก
- ควรแสวงหาความร่วมมือจากประเทศคู่เจรจาในการอำนวยความสะดวกด้านการขอรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยในต่างประเทศ เช่น การขอรับการคุ้มครองพันธุ์ข้าวหอมมะลิ และเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิของไทย
- ผลักดันให้ประเทศคู้เจรจาให้ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ไทยมีผลประโยชน์ เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งที่มาทางชีวภาพ
- ส่งเสริมความร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การใช้ประโยชน์ในข้อมูลสิทธิบัตร เพิ่มศักยภาพและทักษะของนักประดิษฐ์ของไทยในการวิจัยพัฒนาต่อยอด

 

ยุทธศาสตร์การเจรจาเอฟทีเอรายประเทศ
เอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ
- เน้นการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในระยะยาว
- ทั้งต้องคู่ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
- ฝ่ายไทยควรจะยกร่างข้อตกลง (Text) ในส่วนที่สำคัญต่อผลประโยชน์ของไทย
- จัดลำดับความสำคัญของประเด็นการเจรจา เพื่อให้เกิดภาพว่าสามารถรับอะไร และเสียอะไรได้
- ทำการจัดจ้างบบริษัทที่ปรึกษาทั้งในลักษณะของนักล็อบบี้ทางการเมือง (Political Lobbyist) และที่ปรึกษา (Consultant) ในการเจรจา
- จัดทีมเจรจาในแต่ละเรื่องให้เหมาะสมรับกับทีมของสหรัฐฯ
- จัดทำ MRA เพื่อช่วยสนับสนุนการเข้าสู่ตลาด
- กำหนดช่วงเวลาในการลดภาษีนำเข้าของไทยอย่างเป็นขั้นตอน

 

 

เอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น
- เน้นการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
- แสวงหาความร่วมมือทางการเกษตร การถ่ายทอดเทคโนโลยี

 

ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์.  2547. http://www.thaifta.com/ThaiFTA/Home/strategy/tabid/52/Default.aspx

 

แง้มหน้าต่างโบลิเวีย

ก่อนที่จะไปถึงเรื่องของการเจรจาของโบลิเวีย  เราควรจะรู้จักโบลิเวียและสิ่งที่เกิดขึ้นในโบลิเวียสักเล็กน้อย  เพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นที่ประเทศนั้นมากขึ้น

หลายคนอาจจะได้ยินชื่อโบลิเวียเมื่อไม่นานมานี้  จากข่าวการเข้ายึดคืนกิจการก๊าซธรรมชาติของรัฐบาลโบลีเวีย

โบลิเวีย เป็นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ มีพรมแดนติดกับติดกับบราซิล อาร์เจนตินา เปรู และชิลี  มีประชากรประมาณ 8 ล้านคน โดยประมาณ 70-80% เป็นชาวพื้นเมืองซึ่งทำให้โบลิเวียเป็นประเทศที่มีพลเมืองชาวพื้นเมืองมากที่สุดในภูมิภาค

 

 

โบลิเวียนับได้ว่าเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปอเมริกาใต้  แต่ว่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรสินแร่และก๊าซธรรมชาติ  ในยุคอาณานิคมนั้น  ประเทศมหาอำนาจได้เข้ายึดครองโบลิเวียและฉกฉวยประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้ไปอย่างมาก

ก่อนหน้านี้  โบลิเวียก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่ดำเนินตามนโยบายฉันทามติวอชิงตัน  ซึ่งสนับสนุนการเปิดเสรีและการแปรรูปบริการสาธารณะให้เป็นของเอกชน  ในโบลิเวีย กิจการทุกอย่างถูกแปรรูป  ไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำฝนและน้ำในแม่น้ำลำคลอง  ในระหว่างปี 2531-2541 โบลิเวียมีอัตราการแปรรูปมากที่สุดในภูมิภาค

การแปรรูปทำให้โบลิเวียสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกิจการ  อย่างไรก็ตาม  เงินลงทุนจำนวนมหาศาลนี้กลับไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนและการกีดกันทางสังคมภายในประเทศได้  ในระหว่างปี 2542-2545 จำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนเพิ่มขึ้นจาก 62% เป็น 65%  ประเทศกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นจาก 3.3% ของจีดีพีในปี 2540 เป็น 8.7% ในปี 2545  ในขณะที่งบประมาณสำหรับการศึกษาและสาธารณสุขลดลง

 

 

ประชาชนออกมารวมตัวที่ท้องถนนในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ผ่านมา  เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยึดคืนกิจการก๊าซธรรมชาติซึ่งถูกแปรรูปไปสู่เอกชนและนักลงทุนจาต่างประเทศมากว่าทศวรรษ  

 

โบลิเวียเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศในแถบเทือกเขาแอนเดียนหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า แคน  (Community of Andean Nations- CAN) สมาชิกดั้งเดิมของกลุ่มนี้ คือ โบลิเวีย โคลัมเบีย เปรู เอกวาดอร์ และเวเนซุเอลา  ในปี 2547 แคนได้ตกลงกับสหภาพยุโรป หรือ อียู ที่จะจัดให้มี “ข้อตกลงสมาคม” ร่วมกัน โดยสาระสำคัญคือการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ  แต่ในขณะนั้น โบลิเวียยังมีสถานะเป็นประเทศสังเกตการณ์

สหรัฐฯเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ต้องการจะทำเอฟทีเอกับโบลี  ในเดือนมกราคม 2549 โบลิเวียภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ คือ เอโว โมลาเลส ยังไม่ประกาศชัดว่าจะเข้าร่วมกับอียูหรือสหรัฐฯในการทำเอฟทีเอหรือไม่  แต่ประกาศว่าโบลิเวียจะได้รับประโยชน์มากกว่าถ้ารวมกลุ่มกับเมอร์โคซัว (Mercosur ประกอบด้วยอาร์เจนตินา บราซิล ปารากวัย และอุรุกวัย) หรืออียู แทนที่จะเข้าร่วมเจรจากับสหรัฐฯ 

 


เอโว  โมลาเลส

ในเดือนเมษายน 2549 โบลิเวียเข้าร่วมกับเวเนซูเอลาและคิวบาในการทำข้อตกลงการค้าประชาชน (People Trade Agreement: PTA)  ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ทางเลือกของทวีปลาตินอเมริกา (ALBA) ที่หลุดไปจากกรอบแนวคิดทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองที่บงการโดยสหรัฐฯและฉันทามติวอชิงตัน  แต่ในขณะเดียวกันสมาชิก 3 ประเทศ ในกลุ่มแคน คือ โคลัมเบีย เปรู และเอกวาดอร์ ก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาเจรจาเอฟทีเอเป็นรายประเทศกับสหรัฐฯ อยู่  การทำเอฟทีเอของทั้งสามประเทศนี้ทำให้เวเนซูเอลาซึ่งคัดค้านการเจรจากับสหรัฐฯมาโดยตลอดไม่พอใจและขอถอนตัวออกจากกลุ่มแคนไปในเดือนเดียวกัน

ในเดือนมิถุนายน 2549  ผู้นำกลุ่มแคนที่เหลือได้เข้าร่วมประชุมเพื่อหาทางเดินหน้าเพื่อเริ่มต้นการเจรจากับอียูภายหลังการถอนตัวของเวเนซูเอลา  พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยืดอายุกฎหมายปราบปราบยาเสพติดและส่งเสริมการค้า (Andean Trade Promotion and Eradication of Drugs Act)  ที่จะหมดอายุลงในสิ้นปี 2549 เพื่อขยายอายุสิทธิพิเศษสำหรับประเทศในกลุ่มแคนส่งสินค้าไปตลาดสหรัฐฯได้โดยไม่เสียภาษี

 

แม้ว่าจนถึงขณะนี้  ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าโบลิเวียจะเข้าร่วมการเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐฯหรือไม่  เนื่องจากยังคงมีแรงกดดันสนับสนุนการทำเอฟทีเอจากนักธุรกิจภายในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากตลาดส่งออกในสหรัฐฯอยู่ ขณะที่การเจรจาทำข้อตกลงสมาคมกับอียูนั้นก็ยังรู้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด  แต่ความพยายามของโบลิเวียในการที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและนำเสนอทางเลือกในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศนั้นปรากฎชัดเจนอยู่ในจุดยืนการเจรจาที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ
 
ข้อเสนอของโบลิเวีย

จุดยืนพื้นฐานสำหรับข้อตกลงสมาคมระหว่างประชาคมแห่งชาติแอนเดียน (แคน) กับสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อประโยชน์ของประชาชน

1. ข้อตกลงสมาคม  โดยพื้นฐานต้องเป็นข้อตกลงว่าด้วยการหนุนเสริมกันในระดับต่างๆระหว่างประชาคมแห่งชาติแอนเดียนและสหภาพยุโรปเพื่อที่จะร่วมกันหาทางออกสำหรับประเด็นการอพยพย้ายถิ่น การค้ายาเสพติด การสงวนรักษาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งก่อให้เกิดความยากจนและการว่างงาน การเพิ่มความแข็งแกร่งให้เอกลักษณ์ของเรา และการเสริมอำนาจและฟื้นคืนรัฐของเรา  และการพัฒนาประชาธิปไตยที่แท้จริงแบบมีส่วนร่วมและรวมทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน  โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองต่างๆซึ่งถูกกีดกันมากว่า 500 ปี


2. ประชาชน มนุษย์ และธรรมชาติจะต้องเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์หลักของข้อตกลงสมาคม  เราต้องเอาชนะวิธีปฏิบัติที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของธุรกิจข้ามชาติก่อนความต้องการของประชาชนและสิ่งแวดล้อม  ภาคประชาสังคมและองค์กรทางสังคมต้องเข้าร่วมอย่างกระตือรือล้นในการสร้างข้อตกลงสมาคมเพื่อที่จะสร้างการผนวกรวมที่แท้จริงซึ่งทั้งรัฐและประชาชนเข้าร่วม

 

3. การวิวาทะทางการเมืองจะต้องสมดุลและต่างตอบแทนกัน  โดยตระหนักว่าทั้งสองฝ่ายมีสิ่งต้องเรียนรู้จากกันและกันมากมายในประเด็น เช่น ประชาธิปไตยแบบชุมชน แบบมีส่วนร่วมและแบบเป็นทางการ   จำเป็นยิ่งที่จะต้องส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นต่างๆ เช่น การปกครองตนเอง การกระจายอำนาจ การต่อสู้กับคอรัปชั่น ความโปร่งใส วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยฉันทามติ วัฒนธรรมแห่งสันติและการบูรณาการกับอธิปไตย


4. การต่อสู้กับการค้ายาเสพติดเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับแคนและอียู  ทั้งสองฝ่ายต้องพยายามให้ถึงที่สุดที่จะตัดความเชื่อมโยงอันหลากหลายในห่วงโซ่การค้ายา  ซึ่งรวมถึงการฟอกเงินดอลลาร์ในธนาคาร การขนย้ายวัตถุดิบและสารเคมีที่ใช้เพื่อผลิตยาเสพติด  การผลิต การขนส่งและการค้าขายยา  จนถึงบัดนี้ สงครามต้านยาเสพติดล้มเหลว  จำเป็นที่จะต้องก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายความรวมถึงการทำงานกับสังคมเพื่อหยุดยั้งการระบาดของยาเสพติด


5. เราต้องไม่สับสนระหว่างใบโคคาและยาโคเคน  ใบโคคาโดยรูปลักษณ์ตามธรรมชาติของมันไม่ทำอันตรายแก่ใคร และยิ่งกว่านั้นควรจะทำให้เป็นอุตสาหกรรมเพื่อจุดมุ่งหมายสุดท้ายอันเป็นประโยชน์แตกต่างกันออกไปสำหรับมนุษยชาติ  จำเป็นยิ่งที่จะต้องทำให้ใบโคคาเป็นของถูกกฎหมายอย่างเร่งด่วน และได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมของประชาชนพื้นเมืองในแถบแอนเดียน  ในโบลิเวีย เรากำลังดำเนิน “นโยบายฉันทามติเพื่อต้านและควบคุมการผลิตโคคา” กับองค์กรชาวไร่ผู้ผลิตโคคารายย่อยเพื่อป้องกันการนำใบไม้ไปป้อนการผลิตโคเคน


6. ความช่วยเหลือจากอียูสำหรับแคน ควรจะปราศจากซึ่งเงื่อนไขที่กระทบต่อนโยบายอธิปไตยของรัฐในกลุ่มแคน  ความช่วยเหลือจะต้องมีส่วนช่วยแก้ไขสาเหตุเชิงโครงสร้างของการพึ่งพิงและลัทธิอาณานิคมที่ปรากฎเป็นอยู่ในรัฐทั้งหลายของเรา  การสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลไกที่ก่อให้เกิดผลผลิต การแปรทรัพยากรธรรมชาติของเราไปสู่อุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร และการสร้างความเข้มแข็งในการจัดสรรบริการสาธารณะอย่างทั่วถึง จะต้องเป็นภารกิจอันดับแรกของความช่วยเหลือที่ให้โดยไม่มีเงื่อนไข


7. เราต้องจัดตั้งกลไกทางการเงินสำหรับการพัฒนาที่จะก้าวข้ามประสบการณ์แง่ลบที่เกิดจากหนี้ภายนอกและเงินบริจาคซึ่งมาพร้อมกับเงื่อนไข  เราต้องส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานในองค์กรความช่วยเหลือพหุภาคี (ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ ไอเอดีบี และอื่นๆ)  เพื่อตอบสนองภารกิจอันดับต้นๆที่รัฐอธิปไตยได้กำหนดไว้


8. การอพยพย้ายถิ่นเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่กระทบต่ออียูและแคน เราจะร่วมกันสร้างพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของการว่างงานและความยากจนซึ่งทำให้ประชากรแอนเดียนหลายแสนคนต้องละทิ้งประเทศของพวกเขาไปเพื่อแสวงหาอนาคตบางประเภทในยุโรป  ปรากฎการณ์ที่สะเทือนอารมณ์ของการย้ายถิ่นไม่สามารถจะแก้ไขได้โดยมาตรการทางตำรวจหรือทางด้านบริหารจัดการ  หากจะต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของแรงงานอพยพไว้เสมอ  จำเป็นยิ่งที่การแลกเปลี่ยนด้านความช่วยเหลือและการค้ากับสหภาพยุโรปจะต้องมีส่วนสนับสนุนการแก้เปัญหาเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับการสร้างงานที่ยั่งยืนและถาวร


9. จำเป็นที่จะต้องสร้างพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในการปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการทำลายล้างโดยมลภาวะอุตสาหกรรม  เราต้องร่วมกันป้องกันไม่ให้บริษัทต่างๆเคลื่อนย้ายจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่งเพื่อฉกฉวยประโยชน์จากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ต่ำที่สุด  เราทั้งหมดต้องเรียนรู้จากประชาชนพื้นเมืองในการที่จะอยู่อย่างกลมเกลียวกับธรรมชาติ


10. กติกาของข้อตกลงสมาคมในด้านการค้าไม่สามารถจะเสมอกันได้สำหรับทั้งสองฝ่าย  ขณะที่ในเมื่อความไม่เท่าเทียมอันลึกล้ำอย่างมากดำรงอยู่ทั้งภายในและระหว่างภูมิภาค  จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ- ผู้แปล) ของอียูมากกว่าจีดีพีของแคน 50 เท่า  และมากกว่าถึง 300-1000 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับบางประเทศ เช่น เอกวาดอร์และโบลิเวีย  เพื่อที่จะมีข้อตกลงที่ยุติธรรมและเสมอภาค  กฎกติกาที่ได้รับการเห็นชอบจะต้องอำนวยประโยชน์ให้กับแคนมากกว่าอียู  นี่ไม่ใช่เรื่องของการประยุกต์ใช้ “การปฏิบัติที่พิเศษและแตกต่าง” แต่หมายถึงกติกาที่ไม่เท่าเทียมกันซึ่งเอื้อให้เกิดการผนวกรวมกลุ่มที่สมดุลระหว่างสถานการณ์จริงที่ไม่เท่าเทียมกัน


11. ในเรื่องการเข้าถึงตลาด  เป็นเรื่องพื้นฐานที่สหภาพยุโรปจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรเป็นศูนย์แต่ฝ่ายเดียวสำหรับผลิตภัณฑ์ของแคนทั้งหมด โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพของผู้ผลิตขนาดเล็ก  อุตสาหกรรมขนาดเล็ก สหกรณ์ สมาคมและองค์กรเศรษฐกิจของเกษตรกรรายย่อย ไม่เพียงเก็บภาษีเป็นศูนย์เท่านั้น  แต่ยังจำเป็นต้องเสนอตลาดที่มั่นคงให้แก่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาผ่านการให้สิทธิประโยชน์พิเศษในการจัดซื้อจัดหาของรัฐบาลของประเทศในสหภาพยุโรป  รวมทั้งผ่านกลไกอื่นๆ  การเปิดตลาดจะต้องทำจริง โดยกำจัดกำแพงกีดกั้นที่ไม่ใช่ภาษี  กฎระเบียบทางเทคนิค และข้อจำกัดด้านสุขอนามัยซึ่งไม่อนุญาตให้การแลกเปลี่ยนทางการค้าที่ยุติธรรมเกิดขึ้นได้จริง


12. เกษตรกรรมไม่สามารถจะได้รับการปฏิบัติเสมอเหมือนกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ เพราะชีวิตและโภชนาการของประชาชนนับล้านคนขึ้นอยู่กับกิจกรรมนี้  รวมถึงความอยู่รอดและวัฒนธรรมของประชาชนพื้นเมืองนับร้อยชาติพันธุ์ในภูมิภาคแอนเดียน  รัฐมีสิทธิและพันธะกรณีที่จะสร้างหลักประกันอธิปไตยและความมั่นคงด้านอาหารสำหรับประชาชนของตน  ให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ร่วมกันของสังคมจะอยู่เหนือผลประโยชน์ของธุรกิจการเกษตร  การส่งเสริมเกษตรนิเวศจะต้องมาเป็นอันดับแรก  รวมทั้งการเปิดตลาดให้กับผลิตภัณฑ์จากแถบแอนเดียนเพื่อที่จะบรรลุการพัฒนาอันกลมเกลียวกันกับธรรมชาติ


13. เราต้องตระหนักในสิทธิของรัฐ  โดยเฉพาะรัฐที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กที่สุด  เพื่อปกป้องตลาดภายในของพวกเขา และให้แรงจูงใจสำหรับผู้ผลิตในประเทศโดยกลไกแตกต่างกันไป เช่น การจัดซื้อจัดหาของรัฐบาล  การแทรกแซงของรัฐในทุกระดับเป็นรากฐานในการกระตุ้นกลไกการผลิตต่างๆในเศรษฐกิจที่เล็กที่สุดและมีความสามารถในการแข่งขันน้อยที่สุด


14. จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในภูมิภาคแอนเดียน ที่จะเกื้อหนุนการพัฒนาโดยผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การใช้วัตถุดิบและวัสดุพื้นบ้าน การจ้างแรงงานในประเทศ และการเคารพกฎหมายแรงงานและสิ่งแวดล้อม และกฎระเบียบอื่นๆในแต่ละสาขา  การรับประกันและปกป้องของรัฐจะต้องขยายไปครอบคลุมนักลงทุนที่ทำการลงทุนอย่างแท้จริงในประเทศ และข้อพิพาทใดๆระหว่างนักลงทุนต่างประเทศและรัฐจะต้องได้รับการแก้ไขภายใต้ขอบเขตอำนาจศาลภายในประเทศ ไม่ใช่คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศซึ่งได้ก่อผลร้ายรุนแรงต่อกลุ่มประเทศแอนเดียนมาแล้ว  นักลงทุนต่างชาติทุกคนมีสิทธิที่จะได้เงินลงทุนกลับคืนและได้รับกำไรอย่างสมเหตุสมผล  แต่ไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับกำไรที่สูงเกินควรหรือที่อาจจะได้ในอนาคต  ข้อตกลงสมาคมต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับการตัดสินใจโดยอธิปไตยของประเทศในแถบแอนเดียนในการเรียกคืนและ/หรือการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของตน


15. ในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องค้ำประกันการเข้าถึงยาสูตรสามัญ  การบังคับใช้สิทธิสำหรับยาที่มีสิทธิบัตรจะต้องขยายให้สนองตอบความต้องการด้านสาธารณสุข  การให้สิทธิบัตรพืช เมล็ดพันธุ์ สัตว์ และจุลินทรีย์ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะไม่ได้รับอนุญาต  เราต้องตระหนักและปกป้องความรู้ดั้งเดิมของประชาชนพื้นเมือง และต้องเริ่มการถกเถียงอย่างกว้างขวางถึงแนวคิดเรื่องสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อที่จะป้องกันการแปรรูปความรู้ให้เป็นของเอกชน


16. ในระดับของบริการ  ข้อตกลงของสหภาพต้องเสริมสร้างความสามารถของรัฐในการควบคุมและการจัดการเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals) ได้  จำเป็นยิ่งที่จะต้องเสริมสร้างความแข้มแข็งของบริการสาธารณะจำเป็นพื้นฐานและไม่ส่งเสริมการเปิดเสรีหรือแปรรูปบริการเหล่านี้  ข้อตกลงสมาคมต้องเป็นไปเพื่อเสริมสร้างและขยายบริการสาธารณะที่จำเป็น เช่น สุขภาพ การศึกษา การประกันสังคม น้ำและสุขาภิบาลพื้นฐาน ให้ทั่วถึงประชากรทุกคน  โดยการส่งเสริมการรวมกลุ่มและการถ่ายทอดความรู้จากบริษัทที่จัดบริการสาธารณะเหล่านี้ในสหภาพยุโรป  จำเป็นยิ่งที่จะต้องลดงบประมาณทางการทหารและอาวุธลงเพื่อที่จะถ่ายโอนทรัพยากรไปเพื่อค้ำประกันการกระจายบริการพื้นฐานสู่ประชากรทั้งปวง


17. เราต้องแปรทิศทางกระบวนการรวมกลุ่ม ไปในทางที่ลดความสำคัญของผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้เป็นรองความจำเป็นด้านการพัฒนาที่ประกอบด้วยอธิปไตยและลักษณะเฉพาะของแต่ละชาติและประชาชน  สถานการณ์วิกฤตซึ่งเกิดขึ้นในระดับของการผนวกรวมกลุ่มที่แตกต่างกันจะต้องถือว่าเป็นโอกาสให้ทำการทบทวนกระบวนการเหล่านั้น แคนและรัฐบาลและประชาชนทั้งปวงของทวีปอเมริกาใต้กำลังเผชิญความท้าทายในการที่จะก้าวข้ามความผิดพลาดของเราและออกแบบกระบวนการใหม่ในการรวมกลุ่มกับประชาชนและเพื่อประชาชนภายในชุมชนชาติอเมริกาใต้ 

ที่มา: แปลจาก http://www.boliviasoberana.org/blog/English/_archives/2006/6/14/2032849.html
หมายเหตุ: ข้อความที่เป็นตัวหนาเป็นการเน้นโดยผู้เขียนเอง

 

ข้อเสนอโบลิเวียมีอะไรดี

 
ไม่เอาข้อตกลงการค้าเสรี (Tratado del libro Commercio: TLC)

 

จุดยืนของโบลิเวียข้างต้นนี้จัดทำขึ้นสำหรับการเจรจาข้อตกลงสมาคมระหว่างกลุ่มแคนและอียู แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าจะได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกกลุ่มแคนที่เหลือให้เป็นจุดยืนร่วมกันของกลุ่มหรือไม่  แต่จุดยืนในการเจรจานี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการแหวกกรอบการเจรจาการค้าที่กำหนดโดยประเทศพัฒนาและบรรดาธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังทิศทางการเจรจาที่ผ่านมา  ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ

1. จุดยืนของโบลิเวียนั้นไปไกลเกินกว่าเรื่องการค้าเช่นเดียวกับเอฟทีเอดั้งเดิม  แต่ข้อเสนอของโบลิเวียนั้นเห็นว่าการค้าและการลงทุนเป็นเพียงวิธีการหนึ่งและไม่ใช่เป้าหมายในตัวของมันเอง 


2. จุดยืนของโบลิเวียระบุชัดเจนและมุ่งตรงไปสู่เป้าหมายที่จะให้การค้าและการลงทุนตอบสนอง  นั่นคือ เป้าหมายการลดความยากจน การรักษาสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแก้ปัญหาด้านการอพยพย้ายถิ่น  ส่วนการรักษาตลาดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสาระทั้งหมดเท่านั้น


3. จุดยืนของโบลิเวียส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างข้อตกลงสมาคมเพื่อให้ผลประโยชน์นั้นตกอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง  ทั้งนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดจ้างบริษัทล็อบบี้เหมือนในกรณีของไทย


4. จุดยืนของโบลิเวียให้ความสำคัญกับกลไกภาครัฐในฐานะที่มีบทบาทจัดสรรบริการสาธารณะไปสู่ประชาชน  และมุ่งส่งเสริมกลไกนั้นให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นผ่านการทำข้อตกลงสมาคม  ขณะที่ไม่ส่งเสริมการแปรรูปหรือเปิดเสรีบริการเหล่านี้  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ของไทยที่มองการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและบริการสาธารณะเป็นเครื่องมือสำหรับการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศและการขยายตัวของตลาดหุ้น


5. จุดยืนโบลิเวียให้ความสำคัญกับการเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง  โดยประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าจะต้องโอกาส ความช่วยเหลือและสิทธิพิเศษบางประการกับชาติที่มีเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าอย่างจริงใจ  ซึ่งไทยเรียกร้องจากคู่เจรจาที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วน้อยมาก      


6. จุดยืนของโบลิเวียให้สิทธิกับนักลงทุนแต่พอสมควร  ขณะที่ยังรักษาสิทธิในการตัดสินข้อพิพาทให้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศ  ตรงข้ามกับจุดยืนของไทยที่สนับสนุนให้มีการใช้อนุญาโตตุลาการนอกประเทศแทนระบบยุติธรรมในประเทศ


7. จุดยืนของโบลิเวียสร้างรูปแบบความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างรัฐภายใต้กรอบคิดใหม่  คือ เน้นไปที่การร่วมมือและความสมานฉันท์มากกว่าการแข่งขัน  ส่วนจุดยืนของไทยนั้น คือ ต้องการสร้างการแข่งขันให้มากที่สุดโดยไม่ใส่ใจกับขนาดและความสามารถในการแข่งขันที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการ   เพราะมุ่งหวังเพียงประสิทธิภาพในการผลิตให้เกิดขึ้นเท่านั้น


8. จุดยืนของโบลิเวียให้ความสำคัญกับภาคเกษตรในฐานะที่เป็นวิถีชีวิตและแหล่งความมั่นคงด้านอาหารของประชาชน  ส่งเสริมผลประโยชน์ของผู้ผลิตรายย่อยซึ่งเป็นคนจำนวนมากของประเทศมากกว่าผู้ผลิตรายใหญ่  ขณะที่ไม่ให้ความสำคัญเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรและการส่งเสริมการขยายขนาดการผลิตของบริษัทเกษตรขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเหมือนกรณีไทย 


9. จุดยืนของโบลิเวียให้ความสำคัญกับความรู้ท้องถิ่น  กล้าตั้งคำถามกับแนวคิดเรื่องสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา  และรับประกันประชาชนในการเข้าถึงยา  ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนให้ใช้มาตรการของรัฐที่จำเป็น  ซึ่งไทยไม่มีจุดยืนด้านนี้ปรากฎในทางยุทธศาสตร์แต่อย่างใด

นอกจากเก้าประเด็นที่ยกมาข้างต้นแล้ว  ท่านผู้อ่านอาจจะพบเจอประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆได้อีกซึ่งอยากขอเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม 

และเมื่อมาถึงตรงนี้  อยากจะให้ท่านผู้อ่านลองกลับไปดูจุดยืนหรือที่ไทยเรียกว่า “ยุทธศาสตร์” ของประเทศอีกครั้งหนึ่งเพื่อความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ายุทธศาสตร์ของไทยนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใดในการไปเจรจาต่อรองกับประเทศมหาอำนาจ  และไม่ว่าจะระบุไว้หรือไม่ก็ตาม  ไทยกำลังใช้เหยื่ออะไรในการแลกกับการขยายตลาดและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ  และใครกันแน่ที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากยุทธศาสตร์การเจรจาแบบนี้ 

เราคงไม่ได้หวังให้ไทยกำหนดจุดยืนแบบโบลิเวียทั้งหมด  เพราะเป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งความต้องการของประชาชนในสองประเทศแตกต่างกัน  แต่หากไทยจะสามารถพัฒนายุทธศาสตร์หรือจุดยืนของไทยไปให้ไกลกว่า “จุดยืนของพ่อค้า”  ตามที่เป็นอยู่  และปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ในหลากหลายมิติอย่างที่โบลิเวียทำ  แม้เพียงหนึ่งในสามก็จะทำให้การเจรจาเอฟทีเอของไทยเข้าใกล้คำว่า “มีประโยชน์ต่อประชาชน” มากขึ้น

หมวดหมู่ของเนื้อหาในเว็บ: