กนอ.ทุ่ม32ล.ศึกษาตังนิคมปท.เพื่อนบ้าน

"เกาะกง"มาแรงพท.1,500ไร่อุตฯอาหาร

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ใช้งบฯ 32 ล้าน ภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ศึกษาการตั้งนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา-ลาว-พม่า รวมเนื้อที่เกือบ 20,000 ไร่ เฉพาะที่เกาะกง มีแนวโน้มเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุด พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นปลายเดือนนี้ ส่วนที่เชียงแสนติดมรดกโลก หันไปจัดตั้งนิคมเขตเศรษฐกิจชายแดนที่จังหวัดตากแทน

นายอุทัย จันทิมา ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ในระหว่างงานสัมมนา "อุตสาหกรรมและการลงทุน :ยุทธศาสตร์สู่ความเข้มแข็ง" ว่า จากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงคือ กัมพูชา-สหภาพพม่า-สาธารณรัฐประชา ธิปไตยประชาชนลาว (Ayeyaway-Chao phraya-Mekong Economic Cooperation Srategy : ACMECS) ขณะนี้ทาง กนอ.ได้รับอนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีจำนวน 32 ล้าน ในการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม/เขตเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ประเทศ รวมเนื้อที่ 19,185 ไร่

โดยโครงการศึกษาดังกล่าวประกอบไปด้วย 1)โครงการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ/นิคมอุตสาหกรรม ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา ได้รับอนุมัติงบประมาณทำการศึกษาจากคณะรัฐมนตรี 10 ล้านบาท ระยะเวลา 8 เดือน (240 วัน) ซึ่งทาง กนอ.ได้ว่าจ้าง บริษัท โซติจินดา มูเซล คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นปรึกษาตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2547 บริษัทได้ขอขยายสัญญาไปอีก 120 วัน หลังจากที่ครบอายุสัญญาวันที่ 4 ตุลาคม 2547 โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 จะสามารถดำเนินการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์ครบถ้วน

ทั้งนี้ เกาะกงมีเนื้อที่ 1,500 ไร่ อยู่ห่างจากชายแดนประเทศไทยบริเวณอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ประมาณ 2 กิโลเมตร และห่างจากเขตเมืองของจังหวัดเกาะกงประมาณ 8 กิโลเมตร อุตสาหกรรมเป้าหมายเน้นอุตสาหกรรมที่มีการใช้วัตถุดิบและแรงงานในท้องถิ่น อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร, อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากการประมง, อุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

2)โครงการศึกษาความเหมาะการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ/นิคมอุตสาหกรรมสะหวัน-เซโน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เนื้อที่ 1,875 ไร่ โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 ธันวาคม 2547 มีมติอนุมัติงบประมาณในการศึกษาทั้งสิ้น 8 ล้านบาท ระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถ้าหากมีการพัฒนาให้มีเข้มแข็งก็จะสามารถเชื่อมโยงมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยคือ อุดรธานี , นครราชสีมา, ขอนแก่น, มุกดาหาร กับสะหวันนะเขต ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว และดานัง ในประเทศเวียดนามได้

3)โครงการศึกษาความเหมาะสมจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ/นิคมอุตสาหกรรมในประเทศสหภาพพม่า 4 แห่ง ได้แก่ เมืองมะละแหม่ง 4,280 ไร่, เมืองผะอัน 6,000 ไร่, เมืองเมียวดี 2,530 ไร่ และบ้านมู่ต่อง ด่านสิงขร 3,000 ไร่ โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 มีมติอนุมัติงบประมาณศึกษา 14 ล้านบาทระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งแนวทางการศึกษาจะกำหนดบทบาทของพื้นที่

แต่ละแห่งอย่างชัดเจนกล่าวคือ มะละแหม่งจะเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่มีท่าเรือและสนามบินเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน, ผะอันเป็นศูนย์กระจายสินค้า, เมียวดีเป็นฐานการผลิตอุตสาห กรรมการเกษตรที่เชื่อมโยงอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก ขณะที่ฐานการผลิตอุตสาหกรรม บริเวณชายแดนจะช่วยสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจบริเวณชายแดนให้กับสหภาพพม่า

"โครงการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้านโครงการนี้ ทาง กนอ.จะว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง-เศรษฐกิจ-การตลาด-สิ่งแวดล้อม-วิศวกรรม-ผลประโยชน์ของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านจากการตั้งนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งหากผลการศึกษาเสร็จแล้ว ทาง กนอ.ก็จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้ทราบ เพื่อจะกำหนดเป็นนโยบายสนับสนุนการจัดตั้งนิคมในประเทศเพื่อนบ้านต่อไป โดยนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศที่มีความสนใจจะลงทุนก็สามารถนำกรอบการศึกษาไปใช้ได้ ซึ่งในตอนนี้ที่เป็นรูปเป็นร่างมากที่สุดก็คือ โครงการศึกษาในเกาะกง ประเทศกัมพูชา ซึ่งในช่วงปลายเดือนนี้ก็จะเดินทางไปกัมพูชาเพื่อสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง" นายอุทัยกล่าว

นายอุทัยได้กล่าวต่อไปว่า นอกจากรัฐบาลจะมอบหมายให้ กนอ.ทำการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ/นิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังอนุมัติงบประมาณ 4 ล้านบาท มอบหมายให้ศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งฐานการผลิต/นิคมอุตสาหกรรมที่บริเวณ อำเภอแม่สอด-อำเภอแม่ระมาด และอำเภอพบพระ จังหวัดตากด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฐานการผลิต การค้า/การลงทุนและการท่องเที่ยวของประเทศ เชื่อมโยงระหว่างพื้นที่เมืองคู่แฝด ในลักษณะฐานการผลิตร่วมระหว่างไทย-สหภาพพม่า เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านการค้า/การลงทุน/การผลิตและการบริการที่เกี่ยวเนื่อง

"จากเดิมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547

คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้จัดตั้งอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจชายแดน แต่เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกกำหนดเป็นมรดกโลก ดังนั้นการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 จึงได้อนุมัติให้ กนอ. พิจารณาใช้พื้นที่อื่นแทน ประกอบกับการจัดทำผังเฉพาะชุมชนแม่ระมาดและแม่จะเรา จังหวัดตาก เพิ่มเติมเพื่อจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรม" นายอุทัยกล่าว

หมวดหมู่ของข่าว: 

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด