30 Nov 2011
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล
<blockquote>
<p>“<span>ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า พวกเราทั้ง 9 ชาติได้เห็นร่วมกันในภาพรวมของข้อตกลงนี้ แม้ว่าจะมีรายละเอียดที่ต้องทำงานร่วมกันอีกมาก แต่พวกเราก็มั่นใจว่า เราสามารถไปสู่จุดนั้นได้ ดังนั้น คณะเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ได้ในปีหน้า เป้าประสงค์ของเราแม้จะดูทะเยอทะยาน แต่เราเชื่อมั่นว่า เราสามารถทำมันจนสำเร็จได้”</span></p>
</blockquote>
<div align="right"><i>บารัก โอบามา, ประธานาธิบดีสหรัฐ </i></div>
<div align="right"><i>ฮอนนาลูลู</i></div>
<div align="right"><i>13 <span>พฤศจิกายน 2554</span></i></div>
<div> </div>
<div><span> </span><span><br />
</span></div>
<div> </div>
<div><span>จะไม่เรียกว่าเบลอได้อย่างไร ไปเจรจาต้าอ่วยกับผู้นำสหรัฐฯอีท่าไหนไม่รู้ ถูกเขาเคลมว่า จะเปิดเสรีแบบล่อนจ้อนหมดเนื้อหมดตัว จนต้องแถลงการณ์ในสภาพแก้ตัวแทบไม่ทัน แถมศึกในประเทศก็ต้องกลับไปผจญกับความไม่พอใจของชาวอาทิตย์อุทัยที่รัฐบาลใส่ใจกับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ มากกว่าการฟื้นฟูประเทศ ซึ่ง “ไอ้การค้า” ที่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะดีกับประเทศตัวเองจริงๆ หรือเปล่า หรือซ้ำเติมสถานการณ์กันแน่ เพราะเป้าหมายสูงสุดของข้อตกลงนี้ ต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อ-ขายระหว่างชาติสมาชิกภายในระยะเวลา 10 ปี ทั้งที่ภาษีนำเข้าและกฏเกณฑ์ในการตรวจสินค้าเหล่านี้เป็นกลไกการปกป้องผู้ผลิตภายใน</span></div>
<div> </div>
<div><span>สำหรับญี่ปุ่น การเข้าร่วมเจรจาข้อตกลง </span>TPP <span>ไม่ได้มีความหมายแค่การค้า เพราะญี่ปุ่นหวังดึงสหรัฐกลับมายืนในภูมิภาคเพื่อคานกับมหาอำนาจจีนนับวันจะทรงอิทธิพลมากขึ้น </span></div>
<div>แต่ก็ต้องชมว่า แผนพีอาร์ในการปั่นข้อตกลง TPP <span>ของโอบามาได้ผลเยี่ยมยอด เพราะดึงความสนใจของหลายชาติ นอกจากญี่ปุ่นแล้ว แคนาดา เม็กซิโก ก็สนใจอยากร่วม แม้กระทั่งพี่ไทยที่กำลังหายใจทางปาก ปุด ปุด กลางมหาอุทกภัยก็ทำท่าริกๆดีอกดีใจที่ได้รับคำเชิญ แน่นอนว่า ได้สร้างความหงุดหงิดใจแก่ จีน พี่เบิ้มแห่งเอเชีย เป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐฯจะกลับมายึดตำแหน่งทรงอิทธิพลในภูมิภาค</span></div>
<div> </div>
<div><span>อย่างไรก็ตาม หากฟังการปาฐกถาของโอบามาต่อนักธุรกิจสหรัฐฯ อย่างละเอียด บรรดาผู้นำชาติเหล่านี้อาจจะหนาวๆก็ได้ (เอ...หรือผู้นำไม่รู้ร้อนรู้หนาว) ...ข้อตกลงนี้ผู้นำสหรัฐฯหวังผลหลายด้าน ที่สำคัญมากๆคือ จะทำให้เป้าหมายที่จะเพิ่มการส่งออกของสหรัฐฯขึ้นเท่าตัว </span>“<span>ผู้บริโภคเกือบ 500 ล้านคนรอเราอยู่” แถมยัง หมายมั่นปั้นมือว่านี่จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ตัวเลขการสร้างงานที่รับปากไว้เป็นจริงเสียที (ทั้งที่จะจบเทอมอยู่แล้ว ยังไม่เป็นผล ... งั้นขอต่ออีกเทอมนะ นะ)</span></div>
<div> </div>
<div><span>ขณะนี้ เอเชีย-แปซิฟิค</span> จึงกลายเป็นความหวังของสหรัฐฯด้วยกำลังซื้อของคนเพิ่งจะรวย เช่นเดียวกับผู้นำสหภาพยุโรปที่คาดหวังว่า เอฟทีเอระหว่างยุโรปกับชาติเอเชียจะเป็นเสื้อชูชีพช่วยให้ชาติยุโรปที่กำลังพะงาบๆ ไม่ถึงแก่อสัญกรรม</div>
<div> </div>
<div><span>ทีนี้ อุตสาหกรรมใดหล่ะที่จะพอช่วยชีวิตประเทศอดีตมหาอำนาจอันรุ่งเรืองเหล่านี้ได้ ถ้าไม่ใช่ภาคการเงินการธนาคาร, การบริการ และ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินทางปัญญา นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่ยึดครองความด้วยเปรียบจากการ</span>อุดหนุน (Subsidy) โดยเลี่ยงบาลีกฎการค้าโลก</div>
<div> </div>
<div><span>อุตสาหกรรมเหล่านี้ติดอันดับผู้จ่ายเงินหนุนการเมืองสหรัฐฯอันดับต้นๆทั้งนั้น ดังนั้น อิทธิพลจึงเรียกว่าอยู่เหนือกว่ารัฐบาลที่เลือกตั้งมาจากประชาชนเสียอีก เมื่อปลายปีที่แล้ว เอกสารลับฉบับหนึ่งได้หลุดออกมาจากทำเนียบ</span>ขาว “TPP Intellectual Property Negotiations”การเจรจาว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงTPPจัดทำโดยกลุ่มทรัพย์สินทางปัญญาของพันธมิตรธุรกิจเพื่อข้อตกลง TPPพูดง่ายๆว่า คือใบสั่งที่ว่า ผู้เจรจาของสหรัฐต้องทำอะไรบ้าง และเป้าหมายสูงสุดต้องได้อะไร</div>
<div> </div>
<div><span>หากมองโลกในแง่ละมุมละไมสักนิดนึง การจะใช้คำว่า </span><b>“</b>ใบสั่งจากนายทุน<b>”</b> ก็ออกจะเกินเลยไป๊ เพราะมันเป็นข้อเสนอแนะของบรรดานายทุน รัฐบาลสหรัฐฯจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้ ไม่ได้บังคับกันนี่นา แต่ปรากฏว่า อีก 2 เดือนต่อมา บรรดาหนูจี๊ดฝรั่งไปเจาะเอาเอกสารร่างกรอบการเจรจาTPPที่สหรัฐฯ โยนโครมบนโต๊ะใส่บรรดาผู้เจรจาประเทศต่างๆ ในการเจรจาที่ซานติเอโก้</div>
<div> </div>
<div><span>จ๊ากส์ </span><b>!!! </b>เหมือนกันเด่ะเลย อาทิ</div>
<ul>
<li>เข้มงวดเรื่องลิขสิทธิ์มากเสียยิ่งกว่ากฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งแม้แต่การทำ temporary file <span>ซึ่งเครื่องคอมฯทำเองก็ถือว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (มีเรื่องน่าตลกคือ การซื้อ DVD ภาพยนตร์ในสหรัฐฯอย่างถูกลิขสิทธิ์ แต่ไปดูที่ประเทศอื่นก็จะถูก terminate คือดูไม่ได้ทั้งที่จ่ายตังค์ไปแล้ว เฮ้ย!!!) </span></li>
<li>ห้ามการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรที่เข้มงวด ไม่ว่าจะจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก หรือแม้แต่หน่วยงานรัฐ (ปล่อยผีให้ได้สิทธิบัตรกันไปง่ายๆเลย</li>
<li>ผูกขาดข้อมูลทางยายาวเหยียดไป 12 ปีโดยเฉพาะกับยาชีววัตถุ เช่น วัคซีน ยารักษามะเร็ง และผูกขาดข้อมูลยาทั่วไปอย่างน้อย 5 ปี (ซึ่งมากเสียยิ่งกว่ากฎหมายสหรัฐฯที่จำกัดที่ 5 ปี = <span>ตอกฝาโลงไม่ให้ผู้ผลิตยาชื่อสามัญได้ผลิตยาราคาถูกเข้ามาแข่งขัน)</span></li>
<li>จำกัดข้อยืดหยุ่นต่างๆที่มีอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศที่เปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆเลือกใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยา</li>
<li>ไม่อนุญาตให้หน่วยงานจัดซื้อยารวมของรัฐเจรจาต่อรองราคายา เพราะถือว่า ยาของเขาเป็นนวัตกรรมสุดยอด การเจรจาต่อรองถือว่าเป็นการขัดขวางไม่ให้ประชาชนเข้าถึงยา (ก๊ากๆๆๆ)</li>
<li>ให้สิทธินักลงทุนต่างชาติเต็มที่ในการคัดค้านนโยบายสาธารณะใดๆก็ตามที่เห็นว่าทำให้กำไรของธุรกิจตัวเองน้อยลง ด้วยการลากรัฐบาลนั้นๆไปขึ้นเขียงอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเรียกเพราะๆว่า “<span>กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน”</span></li>
<li><span><span> </span></span>ที่เด็ดสุด คือ ห้ามเปิดเผยเนื้อหารายละเอียดข้อตกลงต่อสาธารณะ จนกว่าเราจะตกลงกันเสร็จ (เพื่อกันพวกคัดค้านนะจ้ะ)</li>
</ul>
<div>ด้วยเนื้อหาเยี่ยงนี้ จึงสร้างความสุดทนให้แก่ทีมเจรจาของนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ถึงขั้นที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะไม่บังคับให้ประเทศใดที่จะเจรจาการค้ากับออสเตรเลียต้องยอมรับใน “<span>กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน” ส่วนทีมเจรจาของนิวซีแลนด์ระบุในบันทึกที่รั่วไหลออกมาว่า เนื้อหาข้อตกลงเช่นนี้ยอมรับไม่ได้</span></div>
<div> </div>
<div>อย่าว่าแต่คนนอกบ้านสหรัฐฯจะทนไม่ได้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ส.ส.พรรคเดโมแครต 4 คน นำโดย เฮนรี่ แว๊กซ์แมน ทำหนังสือถึง รอน เคิร์ก ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แสดงความวิตกกังวลถึงการไล่บี้จะค้ากำไรบนชีวิต</div>
<div> </div>
<div>...เราวิตกกังวลว่า ทั้งเป้าหมายและวิธีการที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่นั้นจะไปจำกัดการเข้าถึงยาในประเทศยากจนซึ่งเป็นผลมาจากการถ่วงเวลาการเข้าสู่ตลาดของยาชื่อสามัญ</div>
<div> </div>
<div>ไม่เพียงเฉพาะโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุข ทั้งๆที่เป็นโรคซึ่งรักษาได้ด้วยยา แต่กลับมีผู้ป่วยทั่วโลกเข้าไม่ถึงยาเสียชีวิต มากกว่า 60% <span>และ 80%ของผู้ป่วยที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา รายงานของผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติระบุว่า การพัฒนาให้ผู้ป่วยเข้าถึงยารักษาโรคที่มีอยู่จะสามารถช่วยรักษาชีวิตคนได้ถึง 10 ล้านคนต่อปี การถึงยาหรือไม่จึงเป็นตัวชี้วัดความไม่เท่าเทียมบนโลกใบนี้ เพราะมีเพียง 15% ของประชากร (ส่วนใหญ่เป็นคนรวย-ผู้เขียน) เข้าถึงยากว่า 90% บนโลกใบนี้ ดังนั้น ข้อตกลงทางการค้าของเราจึงควรทำให้ประเทศคู่ค้าซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาสามารถต่อสู้กับปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ได้ </span></div>
<div> </div>
<div>ขณะที่การเจรจาข้อตกลง TPP <span>กำลังดำเนินไป เราขอให้ท่านรักษาคำมั่นสัญญาและเจตนารมณ์ที่มีไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 ว่า ข้อตกลงทางการค้าจะต้องช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึงยาจำเป็น</span></div>
<div>เอ...อิฉันว่า เขาลืมไปแล้วหล่ะคะ ชีวิตใครชีวิตมัน ...ความจำสั้น การฟันกำไรนั้นยาววว....</div>
<p> </p>
<p>“<span>ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า พวกเราทั้ง 9 ชาติได้เห็นร่วมกันในภาพรวมของข้อตกลงนี้ แม้ว่าจะมีรายละเอียดที่ต้องทำงานร่วมกันอีกมาก แต่พวกเราก็มั่นใจว่า เราสามารถไปสู่จุดนั้นได้ ดังนั้น คณะเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ได้ในปีหน้า เป้าประสงค์ของเราแม้จะดูทะเยอทะยาน แต่เราเชื่อมั่นว่า เราสามารถทำมันจนสำเร็จได้”</span></p>
</blockquote>
<div align="right"><i>บารัก โอบามา, ประธานาธิบดีสหรัฐ </i></div>
<div align="right"><i>ฮอนนาลูลู</i></div>
<div align="right"><i>13 <span>พฤศจิกายน 2554</span></i></div>
<div> </div>
<div><span> </span><span><br />
</span></div>
<div> </div>
<div><span>จะไม่เรียกว่าเบลอได้อย่างไร ไปเจรจาต้าอ่วยกับผู้นำสหรัฐฯอีท่าไหนไม่รู้ ถูกเขาเคลมว่า จะเปิดเสรีแบบล่อนจ้อนหมดเนื้อหมดตัว จนต้องแถลงการณ์ในสภาพแก้ตัวแทบไม่ทัน แถมศึกในประเทศก็ต้องกลับไปผจญกับความไม่พอใจของชาวอาทิตย์อุทัยที่รัฐบาลใส่ใจกับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ มากกว่าการฟื้นฟูประเทศ ซึ่ง “ไอ้การค้า” ที่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะดีกับประเทศตัวเองจริงๆ หรือเปล่า หรือซ้ำเติมสถานการณ์กันแน่ เพราะเป้าหมายสูงสุดของข้อตกลงนี้ ต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อ-ขายระหว่างชาติสมาชิกภายในระยะเวลา 10 ปี ทั้งที่ภาษีนำเข้าและกฏเกณฑ์ในการตรวจสินค้าเหล่านี้เป็นกลไกการปกป้องผู้ผลิตภายใน</span></div>
<div> </div>
<div><span>สำหรับญี่ปุ่น การเข้าร่วมเจรจาข้อตกลง </span>TPP <span>ไม่ได้มีความหมายแค่การค้า เพราะญี่ปุ่นหวังดึงสหรัฐกลับมายืนในภูมิภาคเพื่อคานกับมหาอำนาจจีนนับวันจะทรงอิทธิพลมากขึ้น </span></div>
<div>แต่ก็ต้องชมว่า แผนพีอาร์ในการปั่นข้อตกลง TPP <span>ของโอบามาได้ผลเยี่ยมยอด เพราะดึงความสนใจของหลายชาติ นอกจากญี่ปุ่นแล้ว แคนาดา เม็กซิโก ก็สนใจอยากร่วม แม้กระทั่งพี่ไทยที่กำลังหายใจทางปาก ปุด ปุด กลางมหาอุทกภัยก็ทำท่าริกๆดีอกดีใจที่ได้รับคำเชิญ แน่นอนว่า ได้สร้างความหงุดหงิดใจแก่ จีน พี่เบิ้มแห่งเอเชีย เป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐฯจะกลับมายึดตำแหน่งทรงอิทธิพลในภูมิภาค</span></div>
<div> </div>
<div><span>อย่างไรก็ตาม หากฟังการปาฐกถาของโอบามาต่อนักธุรกิจสหรัฐฯ อย่างละเอียด บรรดาผู้นำชาติเหล่านี้อาจจะหนาวๆก็ได้ (เอ...หรือผู้นำไม่รู้ร้อนรู้หนาว) ...ข้อตกลงนี้ผู้นำสหรัฐฯหวังผลหลายด้าน ที่สำคัญมากๆคือ จะทำให้เป้าหมายที่จะเพิ่มการส่งออกของสหรัฐฯขึ้นเท่าตัว </span>“<span>ผู้บริโภคเกือบ 500 ล้านคนรอเราอยู่” แถมยัง หมายมั่นปั้นมือว่านี่จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ตัวเลขการสร้างงานที่รับปากไว้เป็นจริงเสียที (ทั้งที่จะจบเทอมอยู่แล้ว ยังไม่เป็นผล ... งั้นขอต่ออีกเทอมนะ นะ)</span></div>
<div> </div>
<div><span>ขณะนี้ เอเชีย-แปซิฟิค</span> จึงกลายเป็นความหวังของสหรัฐฯด้วยกำลังซื้อของคนเพิ่งจะรวย เช่นเดียวกับผู้นำสหภาพยุโรปที่คาดหวังว่า เอฟทีเอระหว่างยุโรปกับชาติเอเชียจะเป็นเสื้อชูชีพช่วยให้ชาติยุโรปที่กำลังพะงาบๆ ไม่ถึงแก่อสัญกรรม</div>
<div> </div>
<div><span>ทีนี้ อุตสาหกรรมใดหล่ะที่จะพอช่วยชีวิตประเทศอดีตมหาอำนาจอันรุ่งเรืองเหล่านี้ได้ ถ้าไม่ใช่ภาคการเงินการธนาคาร, การบริการ และ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินทางปัญญา นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่ยึดครองความด้วยเปรียบจากการ</span>อุดหนุน (Subsidy) โดยเลี่ยงบาลีกฎการค้าโลก</div>
<div> </div>
<div><span>อุตสาหกรรมเหล่านี้ติดอันดับผู้จ่ายเงินหนุนการเมืองสหรัฐฯอันดับต้นๆทั้งนั้น ดังนั้น อิทธิพลจึงเรียกว่าอยู่เหนือกว่ารัฐบาลที่เลือกตั้งมาจากประชาชนเสียอีก เมื่อปลายปีที่แล้ว เอกสารลับฉบับหนึ่งได้หลุดออกมาจากทำเนียบ</span>ขาว “TPP Intellectual Property Negotiations”การเจรจาว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงTPPจัดทำโดยกลุ่มทรัพย์สินทางปัญญาของพันธมิตรธุรกิจเพื่อข้อตกลง TPPพูดง่ายๆว่า คือใบสั่งที่ว่า ผู้เจรจาของสหรัฐต้องทำอะไรบ้าง และเป้าหมายสูงสุดต้องได้อะไร</div>
<div> </div>
<div><span>หากมองโลกในแง่ละมุมละไมสักนิดนึง การจะใช้คำว่า </span><b>“</b>ใบสั่งจากนายทุน<b>”</b> ก็ออกจะเกินเลยไป๊ เพราะมันเป็นข้อเสนอแนะของบรรดานายทุน รัฐบาลสหรัฐฯจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้ ไม่ได้บังคับกันนี่นา แต่ปรากฏว่า อีก 2 เดือนต่อมา บรรดาหนูจี๊ดฝรั่งไปเจาะเอาเอกสารร่างกรอบการเจรจาTPPที่สหรัฐฯ โยนโครมบนโต๊ะใส่บรรดาผู้เจรจาประเทศต่างๆ ในการเจรจาที่ซานติเอโก้</div>
<div> </div>
<div><span>จ๊ากส์ </span><b>!!! </b>เหมือนกันเด่ะเลย อาทิ</div>
<ul>
<li>เข้มงวดเรื่องลิขสิทธิ์มากเสียยิ่งกว่ากฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งแม้แต่การทำ temporary file <span>ซึ่งเครื่องคอมฯทำเองก็ถือว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (มีเรื่องน่าตลกคือ การซื้อ DVD ภาพยนตร์ในสหรัฐฯอย่างถูกลิขสิทธิ์ แต่ไปดูที่ประเทศอื่นก็จะถูก terminate คือดูไม่ได้ทั้งที่จ่ายตังค์ไปแล้ว เฮ้ย!!!) </span></li>
<li>ห้ามการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรที่เข้มงวด ไม่ว่าจะจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก หรือแม้แต่หน่วยงานรัฐ (ปล่อยผีให้ได้สิทธิบัตรกันไปง่ายๆเลย</li>
<li>ผูกขาดข้อมูลทางยายาวเหยียดไป 12 ปีโดยเฉพาะกับยาชีววัตถุ เช่น วัคซีน ยารักษามะเร็ง และผูกขาดข้อมูลยาทั่วไปอย่างน้อย 5 ปี (ซึ่งมากเสียยิ่งกว่ากฎหมายสหรัฐฯที่จำกัดที่ 5 ปี = <span>ตอกฝาโลงไม่ให้ผู้ผลิตยาชื่อสามัญได้ผลิตยาราคาถูกเข้ามาแข่งขัน)</span></li>
<li>จำกัดข้อยืดหยุ่นต่างๆที่มีอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศที่เปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆเลือกใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยา</li>
<li>ไม่อนุญาตให้หน่วยงานจัดซื้อยารวมของรัฐเจรจาต่อรองราคายา เพราะถือว่า ยาของเขาเป็นนวัตกรรมสุดยอด การเจรจาต่อรองถือว่าเป็นการขัดขวางไม่ให้ประชาชนเข้าถึงยา (ก๊ากๆๆๆ)</li>
<li>ให้สิทธินักลงทุนต่างชาติเต็มที่ในการคัดค้านนโยบายสาธารณะใดๆก็ตามที่เห็นว่าทำให้กำไรของธุรกิจตัวเองน้อยลง ด้วยการลากรัฐบาลนั้นๆไปขึ้นเขียงอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเรียกเพราะๆว่า “<span>กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน”</span></li>
<li><span><span> </span></span>ที่เด็ดสุด คือ ห้ามเปิดเผยเนื้อหารายละเอียดข้อตกลงต่อสาธารณะ จนกว่าเราจะตกลงกันเสร็จ (เพื่อกันพวกคัดค้านนะจ้ะ)</li>
</ul>
<div>ด้วยเนื้อหาเยี่ยงนี้ จึงสร้างความสุดทนให้แก่ทีมเจรจาของนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ถึงขั้นที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะไม่บังคับให้ประเทศใดที่จะเจรจาการค้ากับออสเตรเลียต้องยอมรับใน “<span>กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน” ส่วนทีมเจรจาของนิวซีแลนด์ระบุในบันทึกที่รั่วไหลออกมาว่า เนื้อหาข้อตกลงเช่นนี้ยอมรับไม่ได้</span></div>
<div> </div>
<div>อย่าว่าแต่คนนอกบ้านสหรัฐฯจะทนไม่ได้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ส.ส.พรรคเดโมแครต 4 คน นำโดย เฮนรี่ แว๊กซ์แมน ทำหนังสือถึง รอน เคิร์ก ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แสดงความวิตกกังวลถึงการไล่บี้จะค้ากำไรบนชีวิต</div>
<div> </div>
<div>...เราวิตกกังวลว่า ทั้งเป้าหมายและวิธีการที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่นั้นจะไปจำกัดการเข้าถึงยาในประเทศยากจนซึ่งเป็นผลมาจากการถ่วงเวลาการเข้าสู่ตลาดของยาชื่อสามัญ</div>
<div> </div>
<div>ไม่เพียงเฉพาะโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุข ทั้งๆที่เป็นโรคซึ่งรักษาได้ด้วยยา แต่กลับมีผู้ป่วยทั่วโลกเข้าไม่ถึงยาเสียชีวิต มากกว่า 60% <span>และ 80%ของผู้ป่วยที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา รายงานของผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติระบุว่า การพัฒนาให้ผู้ป่วยเข้าถึงยารักษาโรคที่มีอยู่จะสามารถช่วยรักษาชีวิตคนได้ถึง 10 ล้านคนต่อปี การถึงยาหรือไม่จึงเป็นตัวชี้วัดความไม่เท่าเทียมบนโลกใบนี้ เพราะมีเพียง 15% ของประชากร (ส่วนใหญ่เป็นคนรวย-ผู้เขียน) เข้าถึงยากว่า 90% บนโลกใบนี้ ดังนั้น ข้อตกลงทางการค้าของเราจึงควรทำให้ประเทศคู่ค้าซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาสามารถต่อสู้กับปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ได้ </span></div>
<div> </div>
<div>ขณะที่การเจรจาข้อตกลง TPP <span>กำลังดำเนินไป เราขอให้ท่านรักษาคำมั่นสัญญาและเจตนารมณ์ที่มีไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 ว่า ข้อตกลงทางการค้าจะต้องช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึงยาจำเป็น</span></div>
<div>เอ...อิฉันว่า เขาลืมไปแล้วหล่ะคะ ชีวิตใครชีวิตมัน ...ความจำสั้น การฟันกำไรนั้นยาววว....</div>
<p> </p>
หมวดหมู่ของเนื้อหาในเว็บ:
เอฟทีเอรายประเทศ: