12 Aug 2012
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล
<p>เมื่อปลายปีที่ผ่านมา <span>กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์</span> เพิ่ง<span>ได้รับรางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส ประเภทภาครัฐด้านนโยบาย ในพิธีมอบรางวัลองค์กรโปร่งใส (</span><span>NACC Integrity Awards) <span>ครั้งที่ 2 จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)</span></span> กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นอีกหนึ่งหน่วยราชการที่มีประกาศเจตนารมณ์เพื่อเป็นมาตรฐาน เป็นแนวทางปฏิบัติและเพื่อให้เป็นค่านิยมร่วมของบุคลากรในกรม ฉบับล่าสุดลงนามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554<a title="" name="_ftnref1" href="#_ftn1"><span><span><span><span>[1]</span></span></span></span></a></p>
<div><span>ความน่าสนใจอยู่ที่นโยบายการกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดี ที่เน้นดำเนินการเจรจาการค้าระหว่างประเทศด้วยความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ สังคมและสิ่งแวดล้อม มีแนวทางปฏิบัติ คือ จัดทำท่าทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยยึดหลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และย้ำว่าการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม มีแนวทางปฏิบัติ คือ เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประชาชนจากทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น </span></div>
<div> </div>
<div><span>แต่ที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งยวด เมื่อเทียบประกาศเจตนารมณ์ฉบับนี้กับ นโยบายการกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552<a title="" name="_ftnref2" href="#_ftn2"><span><span><span>[2]</span></span></span></a> จะพบว่า ในฉบับเมื่อปี </span>2552 <span>เคยกำหนดไว้ว่า “<b>เจรจาจัดทำความตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆด้วยความโปร่งใส</b>” แต่ข้อความนี้ถูกตัดทิ้งไปเมื่อเป็นประกาศเจตนารมณ์ </span></div>
<div> </div>
<div><span>คำถามคือ เหตุใดนโยบายการกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดีจึงละทิ้งซึ่ง ‘ความโปร่งใส’ </span></div>
<div> </div>
<div><span>เมื่อ 8 ปีที่แล้ว รศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ เคยเขียนบทความถึงกระบวนการการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทยว่าเป็นกระบวนการที่ปราศจากความโปร่งใสอย่างน้อย 5 ประการ<a title="" name="_ftnref3" href="#_ftn3"><span><span><span><span>[3]</span></span></span></span></a> </span></div>
<div><i>“<span>ประการแรก </span></i>ไม่มีหลักเกณฑ์ที่โปร่งใสในการเลือกประเทศคู่สัญญา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้</div>
<div>เอานิ้วจิ้มว่าจะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศใด โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่า เหตุใดจึงเลือกทำ</div>
<div>ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศหนึ่ง แต่ไม่ทำกับอีกประเทศหนึ่ง</div>
<div><i>ประการที่สอง </i>ไม่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับประเด็นการเจรจา ซึ่งรับรู้เฉพาะผู้นำรัฐบาล และ</div>
<div>คณะผู้แทนการเจรจา</div>
<div><i>ประการที่สาม </i>ไม่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับจุดยืนในการเจรจาในประเด็นต่างๆ ในหลายต่อ</div>
<div>หลายกรณี คณะผู้แทนไทยมิได้มีจุดยืนที่ชัดเจนในการเจรจา เพราะไม่มีชุดความรู้ที่จะกำหนดจุดยืนดังกล่าวได้ ในกรณีที่มีจุดยืนในการเจรจาก็มิได้ประกาศให้สาธารณชนได้รับทราบ ดังนั้น ประชาชนคนไทยมิอาจเตรียมปรับตัวได้ เพราะมิได้รับทราบว่า จุดยืนในการเจรจาของคณะผู้แทนไทยกระทบต่อชะตากรรมทางเศรษฐกิจของตนอย่างไรบ้าง</div>
<div><i>ประการที่สี่ </i>ไม่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับ<i>กระบวนการยื่นหมูยื่นแมว</i>ในการเจรจาการค้า</div>
<div>ระหว่างประเทศ ไม่มีความโปร่งใสว่า รัฐบาลสละอุตสาหกรรมหรือภาคเศรษฐกิจใด เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดอุตสาหกรรมหรือภาคเศรษฐกิจใด ในเมื่อผู้นำรัฐบาลและบุคคลที่ชิดใกล้รัฐบาลจำนวนมากมีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ ประชาสังคมไทยจึงมีสิทธิที่จะตั้งข้อกังขาว่า กระบวนการยื่นหมูยื่นแมวในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเกื้อประโยชน์ทางธุรกิจของผู้นำรัฐบาลและบุคคลที่ชิดใกล้รัฐบาลหรือไม่</div>
<div><i>ประการที่ห้า </i>ไม่มีความโปร่งใสว่า ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ และใครรับภาระอันเกิดจากผลการเจรจา ความไม่โปร่งใสดังกล่าวนี้ ด้านหนึ่งทำให้ประชาชนมิอาจกำหนดจุดยืนได้ว่า สมควรสนับสนุนข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศดังกล่าวหรือไม่ อีกด้านหนึ่ง ทำให้มิอาจวิเคราะห์ผลกระทบอันเกิดจากการทำข้อตกลงดังกล่าวได้</div>
<div> </div>
<div><span> เหตุเพราะไร้ซึ่งความโปร่งใสประกอบกับการไม่มีชุดความรู้มากเพียงพอที่จะ </span>‘<span>จัดทำท่าทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยยึดหลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม’ หรือไม่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในฐานะเลขานุการการประชุมระดับสูงเพื่อพิจารณาเตรียมการเปิดการเจรจาการค้าเสรีของไทย เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงให้ความเห็นว่า <strong><span>ควรกำหนดให้ไทยมีท่าทีการเจรจาที่ยืดหยุ่น โดยอาจยอมรับข้อผูกพันที่มากกว่า </span></strong></span><strong>TRIPs <span>หรือยอมรับ TRIPs Plus </span></strong><b>ในการจัดทำการค้าเสรีเนื่องจาก การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา (Data Exclusivity) เพิ่มเติม 5 ปีจะไม่มีผลกระทบต่อราคายาในปัจจุบัน และการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา อาจมีผลทำให้ยาสามัญ (Generic drugs) วางตลาดได้ช้าลงแต่ไม่เกิน 5 ปี จึงทำให้ผลกระทบต่อยามีจำกัด</b></div>
<div> </div>
<div><span>หากกรมเจรจาฯใช้หลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจริงดังประกาศเจตนารมณ์ ก็ย่อมจะรู้ว่า ความชะงักงันในการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรปกับอาเซียน ไม่ได้อยู่แค่เพียงความยังไม่เป็นประชาธิปไตยของพม่าในขณะนั้น แต่ยังมีประเด็นที่อาเซียนยืนกรานไม่ยอมรับข้อเรียกร้องด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์ในองค์การการค้าโลก หลังจากที่สหภาพยุโรปยื่นข้อเสนอ </span>(text) <span>ให้ได้เห็นความต้องการ และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เกิดความชะงักงันเช่นเดียวกันในการเจรจาการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและอินเดีย ที่อินเดียยืนกรานที่จะไม่รับทริปส์พลัส ซึ่งการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา (Data Exclusivity) เป็นจุดอับตันของการเจรจา </span></div>
<div> </div>
<div>จากการศึกษาในประเทศไทยของ รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์และคณะ<a title="" name="_ftnref4" href="#_ftn4"><span><span><span><b><span>[4]</span></b></span></span></span></a> ชี้ว่า ในบรรดาข้อเรียกร้องด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นทริปส์พลัสที่จะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ การคุ้มครองข้อมูลการทดสอบทางยา หรือ การคุ้มครองข้อมูลที่ส่งให้พิจารณาเพื่อขออนุญาตให้วางตลาดผลิตภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในมาตรา 10 (1-3) Protection of Data Submitted to Obtain a Marketing Authorization <span>ตามที่สหภาพยุโรปเคยยื่นข้อเรียกร้องในการเจรจากับอาเซียน (แม้จะเป็นการศึกษาจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ แต่เมื่อเทียบข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปมีลักษณะเดียวกัน)</span></div>
<div> </div>
<div>ผลการคำนวนจากปี พ.ศ. 2550 <span>ที่เป็นปีที่ทำการศึกษา พบว่า ในห้าอีกปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556) ถ้าปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงถึง 81,356 ล้านบาท ซึ่งข้อเรียกร้องลักษณะนี้จะมีผลกระทบรุนแรงเสียยิ่งกว่าการให้คุ้มครองสิทธิบัตรเพิ่มอีก 5 ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเพียง 27,883 ล้านบาท</span></div>
<div> </div>
<div>เหตุที่การให้การคุ้มครองข้อมูลการทดสอบทางยามีผลกระทบรุนแรงที่สุด เป็นเพราะจะทำให้บริษัทยามีสิทธิที่จะขยายอำนาจผูกขาดตลาดด้วยการผูกขาดข้อมูลยาในกระบวนการขึ้นทะเบียนตำรับยาไม่ว่ายานั้นจะเป็นยาที่จดสิทธิบัตรไว้ในไทยหรือไม่ก็ตาม บริษัทยาข้ามชาติจะสามารถควบคุมข้อมูลการทดลองทางคลินิก (Clinical Trial Data)<span> ได้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่แสดงว่ายาต้นแบบนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ </span></div>
<div> </div>
<div>โดยทั่วไปแล้ว บริษัทผลิตยาชื่อสามัญจะใช้ตัวยาสำคัญ (Active Ingredient) <span>ตัวเดียวกับยาต้นแบบมาผลิตเป็นยาได้ ก็ต่อเมื่อสิทธิบัตรของยาต้นแบบหมดอายุแล้วหรือไม่ได้จดสิทธิบัตรไว้ จากนั้นบริษัทยาชื่อสามัญจะต้องทำการศึกษาชีวสมมูลของยา (Bioequivalent Study) เพื่อพิสูจน์ว่ายานั้นมีคุณภาพเท่าเทียมกับยาต้นแบบโดยที่ไม่ต้องทำการทดลองทางคลินิกซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน นอกจากนี้ การทดลองทางคลินิกซ้ำจัดว่าเป็นการทำผิดจริยธรรมการทำวิจัยในมนุษย์ เนื่องจากทราบอยู่แล้วว่ายาดังกล่าวมีประสิทธิผลในมนุษย์ จึงไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมนุษย์มาเสี่ยงในการทดลองอีกครั้ง </span></div>
<div> </div>
<div>การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา ถือว่าเป็นการผูกขาดตลาดอีกทางหนึ่งของบริษัทยาข้ามชาติ ที่กำหนดกติกาใหม่ของการขึ้นทะเบียนตำรับยาชื่อสามัญใหม่ เพื่อกีดกันไม่ให้บริษัทยาชื่อสามัญขอขึ้นทะเบียนตำรับยาชื่อสามัญใหม่เพื่อผลิตและจำหน่ายหลังจากที่ยาใหม่ของบริษัทยาข้ามชาติเข้าสู่ตลาดในไทยตามเวลาผูกขาดข้อมูลยา</div>
<div>นั่นหมายความว่า หากระยะเวลาผูกขาดข้อมูลดังกล่าวยังไม่หมดลง ยาชื่อสามัญก็ไม่สามารถผลิตออกมาจำหน่ายได้ ทั้งๆ ที่เป็นยาซึ่งปลอดภัยและมีประสิทธิผลไม่แตกต่างกัน จึงเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยาชื่อสามัญที่มีราคาถูกกว่าและให้ผลการรักษาได้เช่นเดียวกัน</div>
<div> </div>
<div>อีกทั้ง ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศต่างๆ นำมาตรการยืดหยุ่นตามข้อตกลงทริปส์มาใช้ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลไทยไม่สามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาได้จนกว่าอายุการผูกขาดข้อมูลจะหมดลง เพราะผู้ผลิตยาชื่อสามัญจะไม่สามารถขอขึ้นทะเบียนตำรับยาได้ในช่วงเวลาดังกล่าว</div>
<div> </div>
<div>จากประสบการณ์ในหลายประเทศชี้ให้เห็นว่า การการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาทำให้ยา “แพง” ขึ้น เฉพาะแค่ผลกระทบที่มีต่อราคายาในโคลัมเบีย หลังจากที่สหภาพยุโรปบังคับให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 10ปี ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเพิ่มขึ้น340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,200ล้านบาท)<a title="" name="_ftnref5" href="#_ftn5"><span><span><span><span>[5]</span></span></span></span></a> นี่หรือที่กรมเจรจาฯสรุปว่า ไม่มีผลกระทบ</div>
<div> </div>
<div>นอกจากนี้ งานศึกษา ‘<span>ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป ข้อเสนอแนะท่าทีการเจรจาและการปรับตัวของไทย’<a title="" name="_ftnref6" href="#_ftn6"><b><span><span><span><b><span>[6]</span></b></span></span></span></b></a></span>โดยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) ได้ดำเนินการศึกษาผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตร และการคุ้มครองข้อมูลยา ซึ่งมีข้อเสนอแนะสรุปว่า ไม่รับประเด็นการผูกขาดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของข้อมูลยา (Data Exclusivity) และการให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการวางแผนในการวางจำหน่ายในท้องตลาด (Market Exclusivity) เนื่องจาก การให้การคุ้มครองข้อมูลของยาต้นแบบในรูปแบบของ Data Protection เพียงพอแล้วและเป็นไปตามความตกลง TRIPS</div>
<div> </div>
<div><span>ดังนั้น ความเห็นของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในฐานะเลขานุการการประชุมระดับสูงเพื่อเตรียมการเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย จึงเป็นความคิดเห็นที่ผิดพลาดไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานทั้งวิชาการและความเป็นจริง ไร้ซึ่งความโปร่งใสซึ่งจะชี้นำทิศทางที่ผิดพลาดให้แก่ผู้กำหนดนโยบาย โดยเฉพาะกับรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่มีนโยบายสำคัญที่จะลดความเหลื่อมล้ำ-สร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพและการสร้างความยั่งยืนด้วยการดูแลภาระการเงินในระบบสุขภาพไม่ให้เกิดปัญหา</span></div>
<div> </div>
<p><span>ถึงที่สุดแล้ว กรมเจรจาฯ พึงต้องแสดงความมีธรรมาภิบาลให้สมกับที่ได้รางวัลองค์กรแห่งความโปร่งใสว่า </span>‘<span>การจัดทำท่าทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยยึดหลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม’ ในประกาศเจตนารมณ์ของกรมเจรจาฯเป็นเพียงแค่สิ่งประดับข้างฝา หรือ เอาไว้แค่ท่องจำเพื่อสร้างราคาให้แก่หน่วยงานโดยไม่มีการปฏิบัติจริง หรือว่า อันที่จริง ความโปร่งใสได้หายไปจากกรมเจรจาฯเสียสิ้นแล้ว</span></p>
<div><br clear="all" />
<hr align="left" width="33%" size="1" />
<div id="ftn1">
<div><a title="" name="_ftn1" href="#_ftnref1"><span><span><span><span>[1]</span></span></span></span></a> <a href="http://www.dtn.go.th/filesupload/files/aboutus/dtngoodpolicy.pdf">http://www.dtn.go.th/filesupload/files/aboutus/dtngoodpolicy.pdf</a></div>
</div>
<div id="ftn2">
<div><a title="" name="_ftn2" href="#_ftnref2"><span><span><span><span>[2]</span></span></span></span></a> <cite><u>http://</u></cite><cite><a href="http://www.dtn.go.th/dtn/aboutus/file/%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%...">www.dtn.go.th/dtn/aboutus/file/<span>นโยบาย<b>ร</b>ะหว่างป<b>ร</b>ะเทศที่ดี.doc</span></a></cite></div>
</div>
<div id="ftn3">
<div><a title="" name="_ftn3" href="#_ftnref3"><span><span><span><span>[3]</span></span></span></span></a> <a href="http://econ.tu.ac.th/archan/rangsun"><span>http://econ.tu.ac.th/archan/rangsun</span></a></div>
</div>
<div id="ftn4">
<div><a title="" name="_ftn4" href="#_ftnref4"><span><span><span><span>[4]</span></span></span></span></a> <span>จิราพร ลิ้มปานานนท์, นุศราพร เกษสมบูรณ์, วิทยา กุลสมบูรณ์, อุษาวดี มาลีวงศ์, อัจฉรา เอกแสงศรี และปริญญา เปาทอง (2553) โครงการวิจัยผลกระทบของข้อเรียกร้องด้านสิทธิบัตรในข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาต่ออุตสาหกรรมยาชื่อสามัญในประเทศ</span></div>
<div>และ โครงการวิจัย “<span>ผลกระทบและมาตรการรองรับ กรณีขยายความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับข้อตกลงเพื่อเปิดเขตการค้าเสรี ไทย – สหรัฐอเมริกา : มิติผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและต่อสุขภาพ”, Southeast Asian Journal Tropical Medicine Public Health. หน้า 667-677.</span></div>
</div>
<div id="ftn5">
<div><a title="" name="_ftn5" href="#_ftnref5"><span><span><span><span>[5]</span></span></span></span></a> Oxfam and Health Action International, (2009), ‘Trading away access to medicines. How the European Union’s trade agenda has taken the wrong turn.’</div>
</div>
<div id="ftn6">
<div><a title="" name="_ftn6" href="#_ftnref6"><span><span><span><span>[6]</span></span></span></span></a> พิชญ์ นิตย์เสมอ, อรพรรณ พนัสพัฒนา, นันทน อินทนนท์, เพียงเพ็ญ บุตรกตัญญู, กวิน นิติมนตรี, สกุลรัตน์ มนตรีวัต และคณะ.(2552) โครงการศึกษาวิจัยเพื่อเตรียมการรองรับการเจรจาจัดทำความตกลงในส่วนทรัพย์สินทางปัญญาของเขตการค้าเสรีอาเซียน – สหภาพยุโรป. กรมทรัพย์สินทางปัญญา. กรุงเทพฯ.</div>
</div>
</div>
<p> </p>
<div><span>ความน่าสนใจอยู่ที่นโยบายการกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดี ที่เน้นดำเนินการเจรจาการค้าระหว่างประเทศด้วยความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ สังคมและสิ่งแวดล้อม มีแนวทางปฏิบัติ คือ จัดทำท่าทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยยึดหลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และย้ำว่าการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม มีแนวทางปฏิบัติ คือ เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประชาชนจากทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น </span></div>
<div> </div>
<div><span>แต่ที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งยวด เมื่อเทียบประกาศเจตนารมณ์ฉบับนี้กับ นโยบายการกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552<a title="" name="_ftnref2" href="#_ftn2"><span><span><span>[2]</span></span></span></a> จะพบว่า ในฉบับเมื่อปี </span>2552 <span>เคยกำหนดไว้ว่า “<b>เจรจาจัดทำความตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆด้วยความโปร่งใส</b>” แต่ข้อความนี้ถูกตัดทิ้งไปเมื่อเป็นประกาศเจตนารมณ์ </span></div>
<div> </div>
<div><span>คำถามคือ เหตุใดนโยบายการกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดีจึงละทิ้งซึ่ง ‘ความโปร่งใส’ </span></div>
<div> </div>
<div><span>เมื่อ 8 ปีที่แล้ว รศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ เคยเขียนบทความถึงกระบวนการการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทยว่าเป็นกระบวนการที่ปราศจากความโปร่งใสอย่างน้อย 5 ประการ<a title="" name="_ftnref3" href="#_ftn3"><span><span><span><span>[3]</span></span></span></span></a> </span></div>
<div><i>“<span>ประการแรก </span></i>ไม่มีหลักเกณฑ์ที่โปร่งใสในการเลือกประเทศคู่สัญญา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้</div>
<div>เอานิ้วจิ้มว่าจะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศใด โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่า เหตุใดจึงเลือกทำ</div>
<div>ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศหนึ่ง แต่ไม่ทำกับอีกประเทศหนึ่ง</div>
<div><i>ประการที่สอง </i>ไม่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับประเด็นการเจรจา ซึ่งรับรู้เฉพาะผู้นำรัฐบาล และ</div>
<div>คณะผู้แทนการเจรจา</div>
<div><i>ประการที่สาม </i>ไม่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับจุดยืนในการเจรจาในประเด็นต่างๆ ในหลายต่อ</div>
<div>หลายกรณี คณะผู้แทนไทยมิได้มีจุดยืนที่ชัดเจนในการเจรจา เพราะไม่มีชุดความรู้ที่จะกำหนดจุดยืนดังกล่าวได้ ในกรณีที่มีจุดยืนในการเจรจาก็มิได้ประกาศให้สาธารณชนได้รับทราบ ดังนั้น ประชาชนคนไทยมิอาจเตรียมปรับตัวได้ เพราะมิได้รับทราบว่า จุดยืนในการเจรจาของคณะผู้แทนไทยกระทบต่อชะตากรรมทางเศรษฐกิจของตนอย่างไรบ้าง</div>
<div><i>ประการที่สี่ </i>ไม่มีความโปร่งใสเกี่ยวกับ<i>กระบวนการยื่นหมูยื่นแมว</i>ในการเจรจาการค้า</div>
<div>ระหว่างประเทศ ไม่มีความโปร่งใสว่า รัฐบาลสละอุตสาหกรรมหรือภาคเศรษฐกิจใด เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดอุตสาหกรรมหรือภาคเศรษฐกิจใด ในเมื่อผู้นำรัฐบาลและบุคคลที่ชิดใกล้รัฐบาลจำนวนมากมีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ ประชาสังคมไทยจึงมีสิทธิที่จะตั้งข้อกังขาว่า กระบวนการยื่นหมูยื่นแมวในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเกื้อประโยชน์ทางธุรกิจของผู้นำรัฐบาลและบุคคลที่ชิดใกล้รัฐบาลหรือไม่</div>
<div><i>ประการที่ห้า </i>ไม่มีความโปร่งใสว่า ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ และใครรับภาระอันเกิดจากผลการเจรจา ความไม่โปร่งใสดังกล่าวนี้ ด้านหนึ่งทำให้ประชาชนมิอาจกำหนดจุดยืนได้ว่า สมควรสนับสนุนข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศดังกล่าวหรือไม่ อีกด้านหนึ่ง ทำให้มิอาจวิเคราะห์ผลกระทบอันเกิดจากการทำข้อตกลงดังกล่าวได้</div>
<div> </div>
<div><span> เหตุเพราะไร้ซึ่งความโปร่งใสประกอบกับการไม่มีชุดความรู้มากเพียงพอที่จะ </span>‘<span>จัดทำท่าทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยยึดหลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม’ หรือไม่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในฐานะเลขานุการการประชุมระดับสูงเพื่อพิจารณาเตรียมการเปิดการเจรจาการค้าเสรีของไทย เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงให้ความเห็นว่า <strong><span>ควรกำหนดให้ไทยมีท่าทีการเจรจาที่ยืดหยุ่น โดยอาจยอมรับข้อผูกพันที่มากกว่า </span></strong></span><strong>TRIPs <span>หรือยอมรับ TRIPs Plus </span></strong><b>ในการจัดทำการค้าเสรีเนื่องจาก การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา (Data Exclusivity) เพิ่มเติม 5 ปีจะไม่มีผลกระทบต่อราคายาในปัจจุบัน และการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา อาจมีผลทำให้ยาสามัญ (Generic drugs) วางตลาดได้ช้าลงแต่ไม่เกิน 5 ปี จึงทำให้ผลกระทบต่อยามีจำกัด</b></div>
<div> </div>
<div><span>หากกรมเจรจาฯใช้หลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจริงดังประกาศเจตนารมณ์ ก็ย่อมจะรู้ว่า ความชะงักงันในการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรปกับอาเซียน ไม่ได้อยู่แค่เพียงความยังไม่เป็นประชาธิปไตยของพม่าในขณะนั้น แต่ยังมีประเด็นที่อาเซียนยืนกรานไม่ยอมรับข้อเรียกร้องด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์ในองค์การการค้าโลก หลังจากที่สหภาพยุโรปยื่นข้อเสนอ </span>(text) <span>ให้ได้เห็นความต้องการ และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เกิดความชะงักงันเช่นเดียวกันในการเจรจาการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและอินเดีย ที่อินเดียยืนกรานที่จะไม่รับทริปส์พลัส ซึ่งการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา (Data Exclusivity) เป็นจุดอับตันของการเจรจา </span></div>
<div> </div>
<div>จากการศึกษาในประเทศไทยของ รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์และคณะ<a title="" name="_ftnref4" href="#_ftn4"><span><span><span><b><span>[4]</span></b></span></span></span></a> ชี้ว่า ในบรรดาข้อเรียกร้องด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นทริปส์พลัสที่จะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ การคุ้มครองข้อมูลการทดสอบทางยา หรือ การคุ้มครองข้อมูลที่ส่งให้พิจารณาเพื่อขออนุญาตให้วางตลาดผลิตภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในมาตรา 10 (1-3) Protection of Data Submitted to Obtain a Marketing Authorization <span>ตามที่สหภาพยุโรปเคยยื่นข้อเรียกร้องในการเจรจากับอาเซียน (แม้จะเป็นการศึกษาจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ แต่เมื่อเทียบข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปมีลักษณะเดียวกัน)</span></div>
<div> </div>
<div>ผลการคำนวนจากปี พ.ศ. 2550 <span>ที่เป็นปีที่ทำการศึกษา พบว่า ในห้าอีกปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556) ถ้าปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงถึง 81,356 ล้านบาท ซึ่งข้อเรียกร้องลักษณะนี้จะมีผลกระทบรุนแรงเสียยิ่งกว่าการให้คุ้มครองสิทธิบัตรเพิ่มอีก 5 ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเพียง 27,883 ล้านบาท</span></div>
<div> </div>
<div>เหตุที่การให้การคุ้มครองข้อมูลการทดสอบทางยามีผลกระทบรุนแรงที่สุด เป็นเพราะจะทำให้บริษัทยามีสิทธิที่จะขยายอำนาจผูกขาดตลาดด้วยการผูกขาดข้อมูลยาในกระบวนการขึ้นทะเบียนตำรับยาไม่ว่ายานั้นจะเป็นยาที่จดสิทธิบัตรไว้ในไทยหรือไม่ก็ตาม บริษัทยาข้ามชาติจะสามารถควบคุมข้อมูลการทดลองทางคลินิก (Clinical Trial Data)<span> ได้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่แสดงว่ายาต้นแบบนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ </span></div>
<div> </div>
<div>โดยทั่วไปแล้ว บริษัทผลิตยาชื่อสามัญจะใช้ตัวยาสำคัญ (Active Ingredient) <span>ตัวเดียวกับยาต้นแบบมาผลิตเป็นยาได้ ก็ต่อเมื่อสิทธิบัตรของยาต้นแบบหมดอายุแล้วหรือไม่ได้จดสิทธิบัตรไว้ จากนั้นบริษัทยาชื่อสามัญจะต้องทำการศึกษาชีวสมมูลของยา (Bioequivalent Study) เพื่อพิสูจน์ว่ายานั้นมีคุณภาพเท่าเทียมกับยาต้นแบบโดยที่ไม่ต้องทำการทดลองทางคลินิกซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน นอกจากนี้ การทดลองทางคลินิกซ้ำจัดว่าเป็นการทำผิดจริยธรรมการทำวิจัยในมนุษย์ เนื่องจากทราบอยู่แล้วว่ายาดังกล่าวมีประสิทธิผลในมนุษย์ จึงไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมนุษย์มาเสี่ยงในการทดลองอีกครั้ง </span></div>
<div> </div>
<div>การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา ถือว่าเป็นการผูกขาดตลาดอีกทางหนึ่งของบริษัทยาข้ามชาติ ที่กำหนดกติกาใหม่ของการขึ้นทะเบียนตำรับยาชื่อสามัญใหม่ เพื่อกีดกันไม่ให้บริษัทยาชื่อสามัญขอขึ้นทะเบียนตำรับยาชื่อสามัญใหม่เพื่อผลิตและจำหน่ายหลังจากที่ยาใหม่ของบริษัทยาข้ามชาติเข้าสู่ตลาดในไทยตามเวลาผูกขาดข้อมูลยา</div>
<div>นั่นหมายความว่า หากระยะเวลาผูกขาดข้อมูลดังกล่าวยังไม่หมดลง ยาชื่อสามัญก็ไม่สามารถผลิตออกมาจำหน่ายได้ ทั้งๆ ที่เป็นยาซึ่งปลอดภัยและมีประสิทธิผลไม่แตกต่างกัน จึงเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยาชื่อสามัญที่มีราคาถูกกว่าและให้ผลการรักษาได้เช่นเดียวกัน</div>
<div> </div>
<div>อีกทั้ง ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศต่างๆ นำมาตรการยืดหยุ่นตามข้อตกลงทริปส์มาใช้ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลไทยไม่สามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาได้จนกว่าอายุการผูกขาดข้อมูลจะหมดลง เพราะผู้ผลิตยาชื่อสามัญจะไม่สามารถขอขึ้นทะเบียนตำรับยาได้ในช่วงเวลาดังกล่าว</div>
<div> </div>
<div>จากประสบการณ์ในหลายประเทศชี้ให้เห็นว่า การการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาทำให้ยา “แพง” ขึ้น เฉพาะแค่ผลกระทบที่มีต่อราคายาในโคลัมเบีย หลังจากที่สหภาพยุโรปบังคับให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 10ปี ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเพิ่มขึ้น340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,200ล้านบาท)<a title="" name="_ftnref5" href="#_ftn5"><span><span><span><span>[5]</span></span></span></span></a> นี่หรือที่กรมเจรจาฯสรุปว่า ไม่มีผลกระทบ</div>
<div> </div>
<div>นอกจากนี้ งานศึกษา ‘<span>ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป ข้อเสนอแนะท่าทีการเจรจาและการปรับตัวของไทย’<a title="" name="_ftnref6" href="#_ftn6"><b><span><span><span><b><span>[6]</span></b></span></span></span></b></a></span>โดยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) ได้ดำเนินการศึกษาผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตร และการคุ้มครองข้อมูลยา ซึ่งมีข้อเสนอแนะสรุปว่า ไม่รับประเด็นการผูกขาดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของข้อมูลยา (Data Exclusivity) และการให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการวางแผนในการวางจำหน่ายในท้องตลาด (Market Exclusivity) เนื่องจาก การให้การคุ้มครองข้อมูลของยาต้นแบบในรูปแบบของ Data Protection เพียงพอแล้วและเป็นไปตามความตกลง TRIPS</div>
<div> </div>
<div><span>ดังนั้น ความเห็นของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในฐานะเลขานุการการประชุมระดับสูงเพื่อเตรียมการเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย จึงเป็นความคิดเห็นที่ผิดพลาดไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานทั้งวิชาการและความเป็นจริง ไร้ซึ่งความโปร่งใสซึ่งจะชี้นำทิศทางที่ผิดพลาดให้แก่ผู้กำหนดนโยบาย โดยเฉพาะกับรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่มีนโยบายสำคัญที่จะลดความเหลื่อมล้ำ-สร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพและการสร้างความยั่งยืนด้วยการดูแลภาระการเงินในระบบสุขภาพไม่ให้เกิดปัญหา</span></div>
<div> </div>
<p><span>ถึงที่สุดแล้ว กรมเจรจาฯ พึงต้องแสดงความมีธรรมาภิบาลให้สมกับที่ได้รางวัลองค์กรแห่งความโปร่งใสว่า </span>‘<span>การจัดทำท่าทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยยึดหลักวิชาการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม’ ในประกาศเจตนารมณ์ของกรมเจรจาฯเป็นเพียงแค่สิ่งประดับข้างฝา หรือ เอาไว้แค่ท่องจำเพื่อสร้างราคาให้แก่หน่วยงานโดยไม่มีการปฏิบัติจริง หรือว่า อันที่จริง ความโปร่งใสได้หายไปจากกรมเจรจาฯเสียสิ้นแล้ว</span></p>
<div><br clear="all" />
<hr align="left" width="33%" size="1" />
<div id="ftn1">
<div><a title="" name="_ftn1" href="#_ftnref1"><span><span><span><span>[1]</span></span></span></span></a> <a href="http://www.dtn.go.th/filesupload/files/aboutus/dtngoodpolicy.pdf">http://www.dtn.go.th/filesupload/files/aboutus/dtngoodpolicy.pdf</a></div>
</div>
<div id="ftn2">
<div><a title="" name="_ftn2" href="#_ftnref2"><span><span><span><span>[2]</span></span></span></span></a> <cite><u>http://</u></cite><cite><a href="http://www.dtn.go.th/dtn/aboutus/file/%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%...">www.dtn.go.th/dtn/aboutus/file/<span>นโยบาย<b>ร</b>ะหว่างป<b>ร</b>ะเทศที่ดี.doc</span></a></cite></div>
</div>
<div id="ftn3">
<div><a title="" name="_ftn3" href="#_ftnref3"><span><span><span><span>[3]</span></span></span></span></a> <a href="http://econ.tu.ac.th/archan/rangsun"><span>http://econ.tu.ac.th/archan/rangsun</span></a></div>
</div>
<div id="ftn4">
<div><a title="" name="_ftn4" href="#_ftnref4"><span><span><span><span>[4]</span></span></span></span></a> <span>จิราพร ลิ้มปานานนท์, นุศราพร เกษสมบูรณ์, วิทยา กุลสมบูรณ์, อุษาวดี มาลีวงศ์, อัจฉรา เอกแสงศรี และปริญญา เปาทอง (2553) โครงการวิจัยผลกระทบของข้อเรียกร้องด้านสิทธิบัตรในข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาต่ออุตสาหกรรมยาชื่อสามัญในประเทศ</span></div>
<div>และ โครงการวิจัย “<span>ผลกระทบและมาตรการรองรับ กรณีขยายความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับข้อตกลงเพื่อเปิดเขตการค้าเสรี ไทย – สหรัฐอเมริกา : มิติผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและต่อสุขภาพ”, Southeast Asian Journal Tropical Medicine Public Health. หน้า 667-677.</span></div>
</div>
<div id="ftn5">
<div><a title="" name="_ftn5" href="#_ftnref5"><span><span><span><span>[5]</span></span></span></span></a> Oxfam and Health Action International, (2009), ‘Trading away access to medicines. How the European Union’s trade agenda has taken the wrong turn.’</div>
</div>
<div id="ftn6">
<div><a title="" name="_ftn6" href="#_ftnref6"><span><span><span><span>[6]</span></span></span></span></a> พิชญ์ นิตย์เสมอ, อรพรรณ พนัสพัฒนา, นันทน อินทนนท์, เพียงเพ็ญ บุตรกตัญญู, กวิน นิติมนตรี, สกุลรัตน์ มนตรีวัต และคณะ.(2552) โครงการศึกษาวิจัยเพื่อเตรียมการรองรับการเจรจาจัดทำความตกลงในส่วนทรัพย์สินทางปัญญาของเขตการค้าเสรีอาเซียน – สหภาพยุโรป. กรมทรัพย์สินทางปัญญา. กรุงเทพฯ.</div>
</div>
</div>
<p> </p>
หมวดหมู่ของเนื้อหาในเว็บ:
เอฟทีเอรายประเทศ: