วันนี้ (1 มีนาคม 2556) ที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ กรุงเทพฯ เครือข่ายประชาสังคมได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อกรณีที่นายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีกำหนดที่จะเดินทางไปร่วมเปิดการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปรอบแรก ณ กรุงบรัสเซลประเทศเบลเยี่ยม โดยมีกำหนดที่จะเจรจาในวันที่ 6 มีนาคมนี้
สืบเนื่องจากรัฐสภาได้ผ่านกรอบการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทย-สหภาพยุโรปแล้วเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556แต่เนื้อหาของกรอบการเจรจายังบกพร่องและไม่ชัดเจนในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งได้กำหนดเปิดช่องไว้อย่างกว้างขวางและสะท้อนให้เห็นว่าท่าทีของรัฐบาลต่อเรื่องนี้หละหลวมเป็นอย่างมาก ประกอบกับการที่รัฐบาลประกาศว่าจะเจรจาให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง หรือเพียง 10 รอบการเจรจาเท่านั้น ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อภาคประชาสังคมเป็นอย่างยิ่ง
นายจักรชัย โฉมทองดี จากโครงการศึกษาและปฎิบัติการงานพัฒนา (โฟกัส) กล่าวว่า “สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการเตรียมการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปในครั้งนี้ พบว่ารัฐบาลไทยไม่ได้มีการเตรียมการที่ดีพอ จะเห็นว่าทีมเจรจาเองยังไม่สามารถตอบคำถามในรายละเอียดต่างๆ ที่ภาคประชาสังคมมีความห่วงใยได้”
“ทั้งนี้มีประเด็นที่น่าห่วงใยหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดให้มีการคุ้มครองเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่มากไปกว่าข้อตกลงในองค์การการค้าโลก หรือในประเด็นด้านการลงทุนที่กำหนดให้มีการคุ้มครองนักลงทุนอย่างเข้มข้นซึ่งจะมีผลกระทบต่อนโยบายรัฐทั้งที่มีอยู่แล้วและที่อาจจะเกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นแนวนโยบายที่จะปกป้องคุ้มครองประชาชนก็ตาม” นายจักรชัยกล่าว
นอกจากนี้ แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญไทยจะมีการกำหนดให้รัฐบาลไทยก่อนการทำข้อตกลงระหว่างประเทศใดๆ ก็ตาม รัฐบาลจะต้องจัดให้มีการให้ข้อมูลและการรับฟังความคิดเห็น และจะต้องยื่นให้รัฐสภาพิจารณาและเห็นชอบเสียก่อน ตามความในมารตรา 190 แต่เนื่องจากกฏหมายลูกยังมีความไม่ชัดเจนและขาดรายละเอียดในสาระสำคัญ ขั้นตอนต่างๆ ตามที่กล่าวมาจึงไม่ได้ถูกนำมาดำเนินการอย่างครบถ้วนแต่อย่างใด
ด้านนายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย กล่าวว่า “รู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อท่าทีและข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปที่เรียกร้องให้มีการเจรจาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่มีแนวโน้มว่าจะเกินไปกว่าการตกลงในองค์การการค้าโลก” ทั้งนี้นายอภิวัฒน์ได้แสดงความเห็นอีกว่า “ทั้งๆ ที่สหภาพยุโรปได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่กลับมีท่าทีในการเจรจาเอฟทีเอกับไทยอย่างที่ไม่คำนึงถึงชีวิตของประชาชนไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการเจรจาครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการเข้าถึงยา”
“เราขอยืนยันว่าเราจะสู้แค่ตาย และจะมีการรณรงค์ต่อสังคมให้มีการคว่ำบาตรสินค้าจากยุโรป รวมทั้งจะสื่อสารไปยังประชาชนในสหภาพยุโรปให้รู้ว่า สินค้าที่คนยุโรปซื้อไม่ว่าจะเป็นกุ้ง ไก่ หรือสินค้าจิวเวอรี่ล้วนแลกมาด้วยชีวิตของคนไทย” นายอภิวัตน์กล่าว
ด้าน ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้ข้อมูลจากงานวิจัยที่พบว่า หากรัฐบาลยอมรับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่มากไปกว่าที่ตกลงไว้ในองค์การการค้าโลก จะส่งผลต่อราคายาที่จะแพงขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) จะส่งผลให้ยาชื่อสามัญไม่สามารถออกตลาดแข่งขันกับยาต้นแบบได้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านยากว่า 80,000 ล้านบาทต่อปี
ทางด้านนายชิบ้า พูราไรพุม จากเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เอเชียแปซิฟิก (APN+) ได้กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ที่เห็นเพื่อนผู้ติดเชื้อเอชไอวีฯ ต้องเสียชีวิตลงมากมายเนื่องจากเข้าไม่ถึงยารักษาโรค แต่ภายหลังเมื่ออินเดียสามารถผลิตยาชื่อสามัญและสามารถส่งออกไปขายได้ทั่วโลก ทำให้เพื่อนของเราเข้าถึงยาและได้รับการรักษาจนมีชีวิตอยู่ได้”
“ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีนโยบายที่ดีมากในเรื่องการมีหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมประชาชนในประเทศ ถือเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่ง แต่หากไทยยอมรับข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาก็จะส่งผลต่อระบบหลักประกันสุขภาพของไทยได้” นายชีบ้ากล่าว
ด้านนายพอล คอร์ธอร์น ผู้ประสานงานโครงการเข้าถึงยาจากองค์การหมอไร้พรมแดน กล่าวว่า “องค์การหมอไร้พรมแดนมีความเป็นห่วงกังวลอย่างมากต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการเข้าถึงยาของประชาชนในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทยในระยะยาว” นายพอลมองว่าการรีบเร่งเจรจาของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ น่าจะเกิดจากการถูกกดด้านจากสหภาพยุโรปและสภาพเศรษฐกิจ จนทำให้ละเลยที่จะคิดถึงผลกระทบด้านการเข้าถึงยาของประชาชนไทย และได้ยกตัวอย่างการเจรจาฯ ระหว่างอินเดียและสหภาพยุโรปให้ฟังว่า รัฐบาลอินเดียมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและปฎิเสธไม่ยอมเจรจาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญากับสหภาพยุโรป จนสหภาพยุโรปต้องยอมถอยไม่เรียกร้องเรื่องทรัพย์ทางปัญญา นอกจากนี้ผู้แทนองค์การหมอไร้พรมแดนยังได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรปประกาศจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะไม่นำเรื่องทรัพยสินทางปัญญาที่เกินไปกว่าข้อตกลงทริปส์ในองค์การการค้าโลกมาเจรจา
ด้านผู้แทนองค์การอนามัยโลกได้กล่าวว่า “จากเอกสารข้อแนะนำเชิงนโยบายของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ที่ชื่อ The Potential Impact of Free Trade Agreements on Public Health (ผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่อการสาธารณสุข) ทั้งสององค์กรมีข้อแนะนำที่ชัดเจนต่อประเทศกำลังพัฒนาว่าควรต้องระมัดระวังและควรหลีกเลี่ยงการทำข้อตกลงการค้าเสรี ที่มีข้อผูกพันเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินไปกว่าข้อตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลกและขัดต่อปฏิญญาสากลโดฮา ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการเข้าถึงยาจำเป็นของประชาชน”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ผ่านมาภาคประชาสังคมไทยกว่าหนึ่งพันคนได้มารวมตัวกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้แทนเจรจาออกมาชี้แจงจุดยืนของรัฐบาลต่อการเจรจาเอฟทีเอ แม้จะมีการรับปากที่จะดำเนินการตามข้อเรียกร้อง เช่นการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาคประชาสังคมและรัฐ หรือจัดให้มีกระบวนการชี้แจงรายงานการเจรจาที่จะเกิดขึ้นทุกรอบ และแม้ว่าหัวหน้าคณะเจรจา ดร.โอฬาร ไชยประวัติจะเป็นผู้ออกมารับจดหมายและกล่าวยืนยันต่อหน้าพี่น้องที่มาร่วมชุมนุม แต่ภาคประชาสังคมเองก็ยังมีความกังวลและไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามที่ได้รับปากไว้หรือไม่อย่างไร และจะจับตา ติดตาม ตรวจสอบอย่างเข้มข้น