ศาลฎีกายืนยกฟ้องคดีฆ่า ‘เจริญ วัดอักษร’-ภรรยาเขียนจม.ประชาชนต้องปกป้องกันเอง

13 ต.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 703 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีจ้างวานฆ่า นายเจริญ วัดอักษร แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเสน่ห์ เหล็กล้วน , นายประจวบ หินแก้ว , นายธนู หินแก้ว , นายมาโนช หินแก้ว (อดีตสจ.ประจวบคีรีขันธ์) และนายเจือ หินแก้ว (อดีตกำนัน ต.บ่อบอก) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น และความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

ในการอ่านคำพิพากษาในวันนี้มีชาวบ้านจากประจวบคีรีขันธ์ใส่เสื้อสีเขียวเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วยราว 150 คน เต็มห้องพิจารณา

คำฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 3-5 ร่วมกันจ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ฆ่านายเจริญ โดยใช้ปืนขนาด 9 มม. ยิงนายเจริญรวม 9 นัด จนเสียชีวิต ขณะที่นายเจริญกำลังลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพ-บางสะพาน หลังจากเดินทางไปให้ปากคำกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เรื่องการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เหตุเกิดที่สี่แยกบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานจ้างฆ่าผู้อื่นฯ ให้ประหารชีวิต ส่วนนายมาโนช และนายเจือ จำเลยที่ 4 - 5 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง นายมาโนช และนายเจือ และพิพากษากลับให้ยกฟ้องนายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 ด้วย เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเช่นกัน ระหว่างฎีกาจำเลยที่ 3-5 ได้รับการปล่อยตัว

ส่วนนายเสน่ห์ และนายประจวบ จำเลยที่ 1-2 กลุ่มมือปืน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำได้เสียชีวิตเมื่อเดือน ส.ค. 2549 ระหว่างการพิจารณาคดีศาลชั้นต้น

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา กลับมีเพียง นายมาโนช จำเลยที่ 4 ที่เดินทางมาศาลเท่านั้น ส่วนนายเจือ จำเลยที่ 5 ส่งทนายร้องขอศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในรพ. พร้อมยื่นใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐาน ขณะที่นายธนู จำเลยที่ 3 ศาลสั่งออกหมายจับให้มาฟังคำพิพากษา และให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้(13ต.ค.) เมื่อถึงเวลา จำเลยที่ 3 ยังไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาอีก ศาลจึงเห็นควรอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามกระบวนการ โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 -2 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าซัดทอดจำเลยที่ 3-5 แต่ให้การขัดแย้งกันเอง โดยพยานโจทก์ไม่ยืนยันชัดเจนว่า จำเลยที่ 4 และ 5 เกี่ยวข้องอย่างไร อีกทั้งจำเลยที่ 3 และผู้ตายก็ไม่เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน จำเลยที่ 3-5 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่มั่นคง พิพากษยืน ยกฟ้อง 3-5 และ ให้ถอดหมายจับจำเลยที่.

“เนื่องจากคำให้การของมือปืนไม่มีน้ำหนักในการรับฟังและก็เสียชีวิตไม่มีโอกาสมาซัก ถือว่าเป็นคำตัดสินที่ไม่ได้แตกต่างจากศาลอุทธรณ์ เราก็ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน แต่ก็จำใจต้องยอมรับคำพิพากษาของศาล ในส่วนประชาชนก็คงต้องไปหารือกันว่าการต่อสู้ที่ไปข้างหน้า หวังกับการคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมทุกภาคส่วนได้ยาก พี่น้องประชาชนจะจัดการตัวเองอย่างไร มันสิ้นสุดแล้วสำหรับกระบวนการยุติธรรม เราหวังการคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมไทยไม่ได้” กรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยาของเจริญกล่าว (ชมคลิป)

นอกจากนี้ภรรยาของเจริญยังเขียนแถลงการณ์ด้วยลายมือ ดังนี้

แถลงการณ์ฟังคำพิพากษาคดีฆ่าเจริญ

1)เราไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลฎีกา แต่ในฐานะประชาชนเราก็จำต้องยอมรับคำตัดสินนั้น

2) 11 ปีของการติดตามคดีสังหาร"เจริญ วัดอักษร "เราได้เรียนรู้ว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีวันเอื้อมไปถึงผู้บงการฆ่าได้ ถ้ามีกระบวนทำให้มือปืนตายก่อนไปให้ปากคำต่อหน้าศาล ซึ่งหมายความว่า ประชาชนที่ต่อสู้กับอิทธิพลอำนาจเถื่อนคงคาดหวังจะได้รับความคุ้มครองจากขบวนการยุติธรรมได้ยากเต็มที

3) ความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงการใช้ดุลย์พินิจของตุลาการทุกระดับ ต้องได้รับการปฏิรูปโดยเร่งด่วนให้มีความโปร่งใสตรวจสอบสอบได้ ไม่เช่นนั้นคนชั่วก็จะลอยนวลออกไปก่อกรรมทำเข็ญอีก ขณะเดียวกันคนบริสุทธิ์กลับถูกจองจำ ดังเช่นพี่น้องเราที่บางสะพานที่คัดค้านโครงการโรงถลุงเหล็กสหวิริยา ตอนนี้ถูกพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 21 ปีอยู่ 1 คนและอีก 4 คนกำลังรอคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งคงรอดยากเพราะเป็นคดีเดียวกัน เชื่อไหมว่า 1 ในผู้ต้องหาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วยซ้ำ

การปล่อยผู้ต้องหาบงการฆ่า"เจริญ วัดอักษร"ในวันนี้ คงทำให้กลุ่มนักการเมืองอิทธิพลในพื้นที่จ.ประจวบยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น ซึ่งคงทำให้เราทำงานเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งนิเวศในท้องถิ่นอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น อยากให้ผู้สื่อข่าวช่วยกันติดตามการต่อสู้ของชาวบ่อนอกเพื่อรักษาระบบนิเวศชายฝั่งอันเป็นฐานทรัพยากรของเราไม่ให้ถูกส่วนราชการจ.ประจวบสมคบกับนักการเมืองและกลุ่มทุนในพื้นที่ แย่งชิงไปสร้างมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด ซึ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้นทุกวัน

ขณะนี้เริ่มมีการข่มขู่และคุกคามเอาชีวิตชาวบ้านอีกครั้ง

ที่มาบางส่วนจากเว็บไซต์เดลินิวส์

แหล่งข่าว: 
ประชาไทออนไลน์

เนื้อหาข่าวเป็นการรวบรวมเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มิได้นำไปเพื่อการค้าแต่อย่างใด