ศาลนัดสืบพยานโจทก์ กรณีกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย ฟ้องอาญา กับสองนายทหารพ่อ-ลูก จากกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์บุกทำร้ายชาวบ้าน เปิดทางขนแร่ออกจากพื้นที่ ชาวบ้านหวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2558 ที่ศาลจังหวัดเลย มีการนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ในกรณีที่ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ฟ้องร้องในคดีอาญากับพันโท ปรมินทร์ ป้อมนาค กับพล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค ในฐานความผิด ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ร่วมกันข่มขื่นใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพของผู้ถูกข่มขื่นใจนั้น จำยอมต่อสิ่งนั้นโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป โดยมีอาวุธ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่น ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพกอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุสมควร และร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดในหมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนโดยใช่เหตุ
โดยอัยการและชาวบ้านกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดร่วมกันฟ้องในคดีนี้ต่อ พ.ท.ปรมินทร์ ป้อมนาค ทหารในราชการ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค ข้าราชการบำนาญ จากกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 15 พ.ค 2557 จนถึงเช้าวันที่ 16 พ.ค. 2557 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์ระหว่างวันที่ 13-16 ต.ค. 2558 ซึ่งมีชาวบ้านถูกกันไว้เป็นพยานในชั้นศาล จำนวน 36 คน สำหรับวันนี้ เป็นการสอบพยานฝ่ายโจทก์คนแรกคือ นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดและเป็นผู้ที่ถูกทำร้ายร่างกายในคืนดังกล่าว
นางมล คุณนา ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2558 ทางตัวแทนชาวบ้านได้เข้ามายื่นเอกสารที่ศาลจังหวัดเลย เพื่อขอห้องให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้าฟังการพิจารณาคดี ซึ่งทางเจ้าหน้าที่บอกว่าจะติดต่อกลับอีกทีว่าจะมีห้องว่างให้ใช่ได้ไหม ต่อมาช่วงเช้าของวันที่ 13 ต.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ได้ศาลโทรแจ้งมาว่าชาวบ้านสามารถเข้ามานั่งฟังศาลไตร่สวนได้ โดยทุกคนต้องเตรียมบัตรประชาชนมาด้วยเพื่อที่ให้เจ้าหน้าที่ศาลตรวจดูรายชื่อว่า เป็นพยานหรือไม่ หากมีรายชื่อเป็นพยาน จะไม่สามารถเข้านั่งฟังได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันพิจารณาสืบพยาน มีชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นพยานเข้าไปนั่งฟังอยู่ในห้องที่ทางศาลจัดไว้ให้ จำนวน 70 คน มีพยานที่ไม่ได้เข้าฟังทั้งหมด 36 คน ถูกกันออกไปนั่งอยู่หน้าห้องพิจารณา
นางมล กล่าวต่อว่า ขณะศาลสืบพยานฝ่ายโจทก์คนแรก ซึ่งคือ นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ ผู้พิพากษามีท่าทีวางอำนาจ พูดด้วยน้ำเสียงตะคอก และมีการบอกผ่านไม่บันทึกคำพูดบางคำพูดของโจทก์ แต่ขณะที่ศาลถามฝ่ายจำเลยกลับมีท่าทีที่แตกต่างกัน จนทำให้ชาวบ้านหลายรายที่เข้าฟังการพิจารณารู้สึกไม่สบายใจ และเดินออกจากห้องพิจารณาไป
“อีกอย่างหนึ่งคือบางคำพูดที่พ่อไม้(นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์) พูดก็ไม่ได้มีการบันทึกลงไป เช่น เวลาบอกว่าพ่อไม้พูดว่าได้ยินเสียง ศาลก็ถามว่า ได้ยินอะไร พ่อไม้ก็บอกว่า ได้ยินเสียงชาวบ้าน กับชายชุดดำ ทะเลาะกัน ขว้างอะไรใส่กัน แล้วก็ได้ยินเสียงปืนดังเป็นระยะๆ แล้วพอเวลาผู้พิพากษาบันทึกข้อความ ก็ตัดคำว่าได้ยินเสียงปืนเป็นระยะๆ ออกไป ก็ไม่ได้บันทึกลงไป ทางพวกเราชาวบ้านที่นั่งฟังอยู่ในห้อง(ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้) ก็เลยพูดขึ้นมาว่า ทำไมถึงไม่บันทึกคำว่า ได้ยินเสียงปืนเป็นระยะๆ ลงไป หลังจากนั้นทางผู้พิพากษาก็กลับมาถามพ่อไม้ใหม่อีกครั้งว่า ว่าได้ยินเสียงอะไร พ่อไม้ก็พูดซ้ำแบบเดิม แล้วผู้พิพากษาก็จึงบันทึกลงไปทั้งหมดรวมถึงคำว่าได้ยินเสียงปืนดังเป็นระยะๆ” นางมลกล่าว
นางมล เล่าต่อไปว่า จากที่สังเกตุเห็นนั้นผู้พิพากษาไม่ได้ลงบันทึกข้อความสำคัญที่นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ พูดอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งที่ศาลไม่ได้บันทึกข้อความลงไปในบันทึก ชาวบ้านที่อยู่ในห้องก็จะบ่นออกมาว่าทำไมศาลถึงไม่บันทึก ทำให้ผู้พิพากษาย้อนกลับมาถามนายสุรพันธ์ ใหม่พร้อมกับบันทึกข้อความที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากพักเที่ยงได้มีเจ้าหน้าที่ของศาลมาบอกกับชาวบ้านในห้องฟังคดีว่า ให้ทุกคนนั่งฟังเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร เพราะจะทำให้เสียงดังรบกวนในห้องพิจารณา
“ชาวบ้านรู้สึกเครียดที่ไม่ให้พูด รู้สึกว่ามันไม่มีความยุติธรรมกับเรา ที่เขาสักถามอาจจะมีประโยชน์กับเรา บันทึกลงไปมีความจำเป็น รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะเป็นธรรมนัก เวลาเราจะอ้างหรือติติงอะไรเขาก็มาว่าเรา เราชาวบ้านก็รู้สึกน้อยใจ เหมือนว่าเราเป็นชาวบ้านไม่มีค่าอะไร มันน้อยใจจริงๆ จากการที่เห็นท่าทีและการจัดการที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายจำเลยกับฝ่ายเรา เขาคุยกับจำเลยพูดเบาๆ แต่พอคุยกับเราแข็งเหมือนข่มขู่ เหมือนเขาข่มเราไม่ให้เราพูดอะไร ให้เราฟังเฉยๆ มีความรู้สึกน้อยใจกับความไม่เป็นธรรมแบบนี้” นางมลกล่าว
การลำดับเหตุการณ์เบื้องต้นไว้ดังนี้
วันที่ 21-22 เม.ย. 2557 พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค และผู้ติดตามอีก 16 คน อ้างว่าเป็นทหารได้เดินทางเข้ามาที่หมู่บ้านนาหนองบง (คุ้มใหญ่) โดยใช้รถตู้เลขทะเบียน ฮก 4700 กรุงเทพมหานคร จดทะเบียนในชื่อ พ.ท.ปรมินทร์ ป้อมนาค ทหารในราชการ มาจอดที่หน้าบ้านของนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ และได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้าน มีการแสดงพฤติกรรมข่มขู่ด้วยวาจาต่อหน้าชาวบ้านที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ พร้อมบอกว่าต้องการจะขนแร่ทองแดงออกจากเหมืองแร่ของบริษัททุ่งคำผ่านถนนสาธารณะของชุมชน
24 เม.ย. 2557 กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดได้ทำจดหมายเปิดผนึกร้องเรียนการละเมิดสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชน กรณีปัญหาการข่มขู่คุกคามในหมู่บ้าน และเรียกร้องให้มีการสอบสวนทางวินัยต่อ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค นายทหารนอกราชการ(เกษียรอายุ) และกลุ่มผู้ติดตามที่อ้างตัวว่าเป็นทหารดังกล่าว แต่กลับไม่มีการดำเนินการตรวจสอบแต่อย่างใด และกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดยังได้ยื่นจดหมายขอให้อุตสาหกรรมจังหวัดเลยดำเนินการตรวจ
6 พ.ค. 2557 กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดได้รับหนังสือจากอุตสาหกรรมจังหวัดเลย ที่ ลย.0033(2)/0852 ลงวันที่ 28 เม.ย. 2557 ระบุว่า บริษัททุ่งคำ จำกัด ได้ขออนุญาตขนแร่ทองแดง มีทองคำและเงินเจือปน จำนวน 476 เมตริกตัน โดยใช้รถบรรทุก 15 คัน ขนแร่ไปยังสถานที่เก็บแร่ที่ 2/2557 ของบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ 294/3 หมู่ที่ 11 ตำบลหนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลยได้ออกใบอนุญาตขนแร่เลขที่ 01930-01944 โดยมีอายุวันที่ 22-23 เมษายน 2557 วันที่ 15 พ.ค. 2557
คืนวันที่ 15 พ.ค. - เช้า วันที่ 16 พ.ค. 2557 ชาวบ้านในพื้นที่ 6 หมู่บ้านรอบเหมืองทองคำ ได้ถูกกองกำลังติดอาวุธครบมือจำนวนประมาณ 300 คน เข้ามาปิดล้อมหมู่บ้านนาหนองบง และจุดตรวจทั้ง 3 จุด (ว.1, ว.2 และ ว.3) ได้ทำร้ายชาวบ้านโดยการทำร้ายร่างกายและจิตใจ จัดมัดมือไพล่หลังนอนคว่ำหน้า ข่มขู่ด้วยอาวุธ พร้อมยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มชาวบ้านไม่ให้เข้ามาช่วยเหลือตัวประกัน จำนวนประมาณ 40 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนชรา โดยลำดับช่วงเวลาและเหตุการณ์ไว้ดังนี้
22.30 น. กลุ่มชาวยฉกรรจ์ติดอาวุธครบมือ มีด ไม้ และปืน จำนวนประมาณ 300 คน เริ่มกระจายกำลังเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน และยึดจุดตรวจ ว.1 ไว้ มีการซ้อมทารุณด้วยการชก ต่อย เตะ กระทืบ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นรวมถึงชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปในบริเวณนั้น และได้ถูกจับมัดมือไพล่หลังให้นอนคว่ำ บางคนถูกใส่ด้วยกุญแจมือพร้อมขู่ทำร้ายหากขัดขื่น และมีการยิงปืนขู่ชาวบ้านที่พยานจะเข้ามาช่วยตัวประกันเป็นระยะๆ
22.30-24.00 น. มีการนำกำลังเสริมเข้ามาในพื้นที่พร้อมกับรถบรรทุก 2 คันแรกบุกเข้าไปที่ด่านตรวจจุด ว.2 มีการข่มขู่ว่าจะฆ่าตัวประกัน มีการซ้อมและจับชาวบ้านมัดมือมัดเท้าไว้จำนวน 22 คน ต่อมาได้เข้ายึดจุดตรวจที่ด่าน ว.3 จุดกำแพงที่ชาวบ้านสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้มีรถบรรทุกใหญ่เข้าออกบริเวณนั้น ณ จุดนี้ก็มีการขู่จะฆ่า และมีการซ้อมชาวบ้านและจับมัดมือมัดเท้าไว้จำนวน 11 คน หลังจากนั้นก็ได้พังกำแพง เพื่อนำรถบรรทุก 18 ล้อ จำนวนประมาณ 13 คันเข้าไปขนแร่ทองแดงออกมาจากเหมือง โดยตลอดระยะเวลาดังกล่าวมีการยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยตัวประกันโดยใช้กองกำลังเถื่อนดังกล่าวคุ้มกันให้มีการขนแร่ออกจากพื้นที่จนสำเร็จ