
สืบเนื่องจากรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ได้สั่งให้กระทรวงศึกษาธิการไปทบทวนการเรียนการสอน เนื่องจากในระดับอุดมศึกษายังมีครูอาจารย์ชอบสอนในเชิงต่อต้านรัฐบาล
วันนี้ (31 ต.ค.58) เวลาประมาณ 14.30 น. กลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยนำโดย ศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ และรศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ. ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ มหาวิทยาลัยทักษิณ และดร. มานะ นาคำ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปิดแถลงข่าว เรื่อง “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” ณ โรงแรม IBIS แยกเชียงใหม่ภูคำ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าวของหัวหน้าคสช.
โดยในแถลงการณ์ระบุว่า การเรียนการสอนให้มนุษย์และสังคมมีความรู้และสติปัญญามากขึ้น สามารถจัดการปัญหาและเผชิญหน้าอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีเสรีภาพ และความคิดในเชิงทรรศนะวิพากษ์
“บทเรียนจากในประวัติศาสตร์ ทั้งในสังคมไทยและสังคมอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การปลูกฝังอุดมการณ์ หรือ “ความเชื่อ” หนึ่งๆ เพื่อครอบงำสังคม หมายถึงการทำให้คนในสังคมยอมรับโครงสร้างอำนาจแบบใดแบบหนึ่งที่คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ และอาจส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรง หรือแม้กระทั่งเข่นฆ่าผู้คนที่ปฏิเสธโครงสร้างอำนาจดังกล่าว”
นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุอีกด้วยว่า การสร้างความเห็นพ้องกันในเรื่องต่างๆ รวมถึงความชอบธรรมในการใช้อำนาจ จำเป็นที่จะต้องถกเถียงกันด้วยความรู้ เหตุผล และข้อเท็จจริง ในบรรยากาศของความเสมอภาค และเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
“พวกเราในฐานะคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาหลายสถาบัน มีความเห็นร่วมกันว่า การที่จะนำพาสังคมไทยให้พ้นจากความขัดแย้งเพื่อไปสู่สังคมที่มีสันติภาพ ความเสมอภาค และความเป็นธรรมในระยะยาวได้นั้น หลักการพื้นฐานคือ ต้องสร้างสังคมที่สามารถยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง มีกระบวนการในการจัดการกับปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ ที่เป็นธรรมโปร่งใส มีระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลางและตรวจสอบได้ ซึ่งในสังคมลักษณะดังกล่าวก็คือ สังคมที่ปกครองในรูปแบบเสรีประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรม และค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาทุกระดับย่อมมีหน้าที่โดยตรงในการสร้างสังคมประชาธิปไตยดังกล่าวนี้ มิใช่ยอมรับการข่มขู่ด้วยอำนาจ ซึ่งมีแต่จะนำพาสังคมไทยให้จมดิ่งลงไปสู่ความมืดมนทางปัญญา และไม่อาจปรับตัวได้ในโลกปัจจุบันและอนาคต”
รศ.สมชาย กล่าวภายหลังจากอ่านแถลงการณ์ว่า พวกตนจะสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย หรือให้ความรู้สังคม เพื่อทำให้คนมีทัศนะวิพากษ์ต่อเรื่องทุกเรื่อง จะไม่สอนให้นักศึกษา หรือสังคมเชื่อในความรู้ชุดใดชุดหนึ่งแบบงมงาย หรือเชื่อในความรู้ที่ถูกบังคับให้เชื่อ และจะพยายามสอนคนที่เกี่ยวข้องด้วย ให้ใช้เหตุผลในการถกเถียงกัน ตนเชื่อว่านี่คือเรื่องที่สำคัญมากของสังคมไทยในปัจจุบัน
รศ.ดร.ณฐพงศ์ กล่าวว่า การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยคือ สอนให้นักศึกษาคิดเป็นและแก้ปัญหาได้ การเรียนของนิสิตนักศึกษาทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยจะทำให้พวกเขาได้มีทัศนะในการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆในสังคมไทย
“เอาเข้าจริง อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถสั่งให้นิสิตซ้ายหันขวาหันได้ กระบวนการการเรียนการสอนเหล่านั้น นักศึกษาก็มีวุฒิภาวะมากพอที่จะคิดวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และตัดสินใจได้เองว่าเขาควรจะกำหนดบทบาทอย่างไรต่อตนเอง หรือต่อสังคมรอบข้าง หรือสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม เราไม่สามารถไปชี้นิ้วสั่งการได้ ต้องเชื่อมั่นว่า คนหนุ่มคนสาวในรั้วมหาวิทยาลัยก็มีวุฒิภาวะมากพอ”