คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 39/2558 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด
ตามที่มีการดําเนินการตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐบาลในอดีตตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549จนถึงปีการผลิต2556/2557 ปรากฏว่ายังคงมีข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐ ที่เก็บอยู่ทั่วประเทศเป็นปริมาณมหาศาล หากการเก็บรักษาและการควบคุมดูแลหรือการระบายข้าวออกสู่ตลาด ไม่รอบคอบรัดกุมหรือไม่สุจริต ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรัฐต้องจัดสรร งบประมาณเป็นจํานวนมาก เพื่อการบริหารจัดการและการเก็บรักษาข้าวที่คงเหลือไม่ให้เกิดความเสียหาย แก่รัฐเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้องเร่งตรวจสอบปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งวางมาตรการระบายข้าวดังกล่าว ออกสู่ตลาดให้เหมาะสม มิให้กระทบต่อราคาข้าวฤดูกาลใหม่ที่ทยอยออกมา ทั้งต้องดําเนินการต่อผู้ต้องรับผิด เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่รัฐ อันเป็นความจําเป็นเพื่อป้องกันและระงับความเสียหายต่อความมั่นคง ทางเศรษฐกิจของประเทศ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ1. ให้บุคคล คณะบุคคล คณะทํางาน คณะกรรมการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายหรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบ แห่งชาติ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ให้ดําเนินการบริหารจัดการข้าวที่อยู่ในการดูแลรักษาของรัฐตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549 จนถึงปีการผลิต 2556/2557 ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หรือภายหลังจากนั้น ยังคงมีอํานาจหน้าที่ดําเนินการดังกล่าวต่อไปเช่นเดิม ทั้งนี้ เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้นเพราะเหตุแห่งความเสื่อมสภาพของข้าว การแตกต่าง ระหว่างราคาข้าวที่รับจํานํากับราคาที่จําหน่ายได้ การที่รัฐต้องรับภาระ ค่าเช่าคลัง ค่าประกันภัย ค่าดูแล รักษาคุณภาพข้าว ค่าใช้จ่ายอื่นและดอกเบี้ย และเพื่อป้องกันมิให้การระบายข้าวเป็นการเพิ่มอุปทาน ในตลาดในช่วงเวลาเดียวกับที่มีผลผลิตฤดูกาลใหม่โดยไม่สมควร รวมทั้งดําเนินการเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิด และเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามกฎหมาย
ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งดําเนินการตามอํานาจหน้าที่และได้กระทําโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดท้ังทางแพ่งทางอาญาหรือทางวินัย
ข้อ2.คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่งณวันที่30ตุลาคม พุทธศักราช 2558
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ