16 พ.ย.2558 เว็บไซต์ MGRonline รายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นำโดย นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. ร่วมกันแถลงผลการดำเนินงานตลอด 6 ปี ของ กสม. ชุดที่ 2 ว่า ในส่วนการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียน นับแต่คณะกรรมการชุดนี้เข้ามารับหน้าที่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2552 มีคำร้องค้างการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดแล้ว 1,563 คำร้อง ทำเสร็จสิ้น 1,555 คำร้อง และมีการยื่นคำร้องเข้ามาในระหว่างดำรงตำแหน่งจำนวน 4,143 คำร้อง ทำเสร็จ 3,185 คำร้อง เหลือคำร้องที่จะส่งต่อให้ กสม. ชุดใหม่ 958 คำร้อง
อมรา กล่าวว่า การทำหน้าที่ที่ผ่านมาคิดว่าสังคม และสื่อมวลชนไม่ค่อยเข้าใจในอำนาจหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ มีทั้งชื่นชมติติงก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ บางครั้งเข้าใจอำนาจหน้าที่เราผิด ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน แต่ก็วิพากษ์วิจารณ์ และในขณะที่กำลังมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็อยากให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้พิจารณาในเรื่องอำนาจหน้าที่ โดยให้กรรมการสิทธิฯ สามารถหยิบยกกฎหมายที่เห็นว่าขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนขึ้นมาพิจารณาและฟ้องต่อศาลให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องมีผู้ร้องเหมือนเช่นปัจจุบัน
อมรา ยังกล่าวถึงกรณีองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับสากล หรือ ICC กำลังจะมีการประชุม และจะพิจารณาประเมินระดับการทำงานของ กสม. ไทย ว่า ก่อนหน้านี้ที่ ICC มีการปรับลดระดับ กสม. จากเกรดเอมาเป็นเกรดบี มาจากการที่เขาได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องซึ่งเมื่อทางไทยมีการแก้ไขไปเขาก็รับ ที่เหลือเป็นประเด็นอยู่มีอยู่ 2 เรื่อง คือ เรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และการสรรหากรรมการสิทธิฯ ซึ่งทั้งสองเรื่องอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของ กสม. ดังนั้น เรื่องไทยจะถูกปรับลดเกรดอีกหรือไม่ก็อยู่ที่รัฐบาล
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวว่า กสม. ได้เข้าไปตรวจสอบการชุมนุมทางการเมืองและการใช้ความรุนแรงทางการเมือง 2 ครั้ง คือปี 2553 และปี 2556 - 2557 มีข้อสรุปว่า การชุมนุมทั้ง 2 ครั้ง มีปัญหาเรื่องสิทธิการรับรู้ความจริง และการยอมรับความจริงร่วมกัน แม้ว่าจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศเข้ามา แต่ยังไม่มีการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์อย่างแท้จริง ต้องมีการจัดการการชุมนุมหรือความขัดแย้งอย่างเหมาะสม และไม่ควรใช้กฎหมายที่รุนแรงทั้งกฎอัยการศึก, พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง หากแก้ปัญหาด้วยการทหาร ยิ่งทำให้ปัญหาขยายตัวเหมือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ จะต้องมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่อการชุมนุมอย่างเหมาะสมตามหลักกฎหมาย รวมทั้งต้องสรุปบทเรียนว่า การที่จะทำให้ประเทศไทยไม่ตกหลุมความขัดแย้ง จำเป็นต้องคิดถึงปัญหาต้นตอ เพราะประเทศไทยติดกับดักบ้านเมือง ต้องการปฏิรูป ซึ่งมองไม่เห็นเค้างลางการการปฏิรูปประเทศไทยจะเกิดขึ้นจริง
นพ.นิรันดร์ กล่าวอีกว่า ระยะ 1 ปีเศษที่ผ่านมา มีปัญหาการละเเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ภายใต้สถานการณ์รัฐประหาร ต้องยอมรับว่าภายใต้กฎอัยการศึกแม้จะยกเลิกไปแล้ว สังคมไทยยังมีปัญหาด้านเสรีภาพในการแสดงความเห็น เช่น เสรีภาพของสื่อ และนักวิชาการ เป็นต้น แม้กระทั่งการที่ประชาชนอยากมีส่วนร่วมปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ปัญหาปฏิรูปพลังงาน การจัดการทรัพยากร ก็ถูกสกัดกั้น ถูกมองว่าทำลายความสงบสุข ในความเป็นจริงเป็นสิทธิของพลเมือง
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ กสม. ยังได้มีการแจกหนังสือรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนชุดที่ 2 ที่ภายในจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งการตรวจสอบ ส่งเสริม ซึ่งที่น่าสนใจคือในบทที่ 3 การดำเนินงานของ กสม. ต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่มีผลกระทบในวงกว้าง โดยเป็นการระบุผลการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนต่อกรณีการชุมนุมทางการเมืองทั้งของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อเดือน มี.ค. - พ.ค. 2553 ที่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะไปก่อนหน้านี้แล้ว และมีการตรวจสอบกรณีเสรีภาพในการชุมนุมที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิการเลือกตั้ง และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมทางการเมือง เดือน ก.ค. 2556 - พ.ค. 2557 หรือที่เรียกว่าการชุมนุมของ กลุ่ม กปปส. ซึ่งในรายงานนอกจากจะมีการสุรปสถานการณ์การชุมนุม การดำเนินการของ กสม. ต่อกรณีดังกล่าว ยังมีการสรุปบทเรียนและมีข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย
กสม. เห็นว่า การชุมนุมของ กปปส. และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอื่น ๆ ในภาพรวม จะเป็นการใช้เสรีภาพที่เป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่ยังปรากฏว่า มีการดำเนินกิจกรรมบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น อาทิ กิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง การปิดล้อมสถานที่รับสมัคร ส.ส. รวมถึงการปฏิบัติการปิดกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมในที่สาธารณะที่เกินความจำเป็น ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของุบคคลอื่น และพบว่า มีการทำลายทรัพย์สิน การใช้สิ่งเทียมอาวุธ โดยแกนนำไม่สามารถควบคุมผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่ก่อความรุนแรงได้ หรือผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่เห็นความรุนแรงเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ชุมนุมบางกลุ่ม แต่ก็ไม่มีการห้ามปราม และมีท่าทีสนับสนุนการกระทำนั้น อาทิ การชุมนุมที่บริเวณสนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง เป็นต้น ก็ถือได้ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ และไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ส่วนการชุมนุมที่ปรากฏภาพการใช้ความรุนแรงอันเกิดจากพฤติกรรมของผู้ชุมนุมเพียงบางคนนั้น ถือได้ว่าเป็นกระทำความผิดตามกฎหมาย ตามลักษณะฐานความผิดทีได้กระทำเป็นเฉพาะราย ไม่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
โดยจากกรณีนี้ กสม. มีข้อเสนอเชิงนโยบายไปยังรัฐบาล คือ รัฐต้องดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบ ป้องกันไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงกรอบแห่งกฎหมาย มาตรฐานสากล และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ และมีหน้าที่ในการตรากฎหมาย บังคับใช้และตีความกฎหมายเพื่อให้การค้มครองบุคคลจากการใช้สิทธิเและเสรีภาพนั้น ควรหลีกเลี่ยงการประกาศใช้กฎหมายพิเศษทั้งประกาศกฎอัยการศึก, พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม เพราะไม่สามารถเป็นเครื่องมือในการดูแลสถานการณ์ชุมนุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีมาตรการ กฎหมายที่เหมาะสม หรือกลไกเฉพาะเพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม มีหน่วยงานรับผิดเป็นการเฉพาะซึ่งต้องมีแผนปฏิบัติการ ขั้นตอนการปฏิบัติและเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะในการทำงาน และรัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและติดตามผู้กระทำผิด ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ชุมนุม หรือบุคคลอื่น มาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม และการสลายการชุมนุมของตำรวจที่ผ่านมายังไม่สอดคล้องกับหลักสากลในการสลายชุมนุม ขณะที่ผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมจะต้องสร้างเจตจำนงร่วมในการชุมนุม ภายใต้หลักการรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และผู้ร่วมชุมนุมต้องใช้เสรีภาพเท่าที่ไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น