
นักวิชาการ มธ. ถกย้อนยุคทหาร จอมพลผ้าขาวม้าแดง "สฤษดิ์ ธนะรัชต์" เหล่าขรก.-ทหาร หนุนเปลี่ยนไทยเปลี่ยนเกษตรผ่านสู่อุตสาหกรรม
วานนี้ (21พ.ย.) ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) และกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) ได้จัดงาน “นิทรรศการลายพรางโกงชาติ” สานเสวนาในหัวข้อเรื่อง “และมรดกที่ประกอบสร้างจากยุคพัฒนา” มีวิทยากร นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหวิทยาลัยธรรมศสตร์ นายศุภวิทย์ ถาวรบุตร อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ร่วมเสวนา ท่ามกลางผู้ที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
นายพิชิต กล่าวว่า ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ประเทศไทยได้มีการพัฒนาเปลี่ยนจากการทำเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมในลักษณะบนหลังของชาวเกษตรกร จนกระทั่งได้มีการดำเนินการต่อเนื่อง ถือเป็นมรดกที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจในยุคนั้นสินค้าเกษตรตกต่ำ ค่าจ้างแรงงานตกต่ำเช่นกัน เกิดภาวะการณ์เคลื่อนย้ายแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมืองหรือ กทม.ที่อดีตเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดาข้าราชการ และคนจีนที่ประกอบอาชีพหาบเร่ แผงลอยเป็นส่วนใหญ่ ในขณะนั้นเมืองเกิดการขยายตัวเป็น 10- 20 เท่า ที่ผ่านมาก่อนจะเป็นยุคของจอมพลสฤษดิ์แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย แล้วทำให้เกิดมรดกทางสังคมวัฒนธรรมได้มีการจัดโครงสร้างทางเศรษฐกิจมาสู่ปัจจุบันที่มีประมาณ 20 กลุ่มแล้วขายตัวมาให้เห็นในทุกวันนี้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอาชีพหาบเร่แผงลอยกลับเป็นประชาชนชาวอีสานมาประกอบอาชีพแทน
ด้านนายศุภวิทย์ กล่าวว่า ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ถือว่าสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แต่ไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว แต่เป็นการร่วมกันของนักวิชาการ ข้าราชการ ทหารหรือเหล่าเทคโนแครต (กลุ่มปัญญาชนผู้มีความรู้ทางวิชาการ) สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความแปลกใจไม่น้อยให้กับคนทั่วไปที่รู้สึกว่า บุคคลเหล่านี้ไปเข้าร่วมกับจอมพลสฤษดิ์ได้อย่างไร เนื่องจากภาพลักษณ์ขณะนั้นของเขายังไม่โปร่งใสมากนักส่อไปในทางคอรัปชั่นมากกว่า แต่ก็มีการมองกันว่า อาจเกิดจากจอมพลสฤษดิ์มักชอบดังคนเก่งเทคโนแครตมาช่วยแล้วอ้างว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้น้อย ทำให้ทุกคนยอมเอาตัวเข้ามาช่วยงานแม้จะไม่ค่อยนิยมชมชอบเขาเท่าไหร่นัก
“ระบบสฤษดิ์มันใหญ่โตมีการนำเทคโนแครตเข้ามาช่วยงานพัฒนา ส่งผลให้ระบอบเศรษฐกิจใหญ่โตขึ้นมาก เพราะมีคนเหล่านี้ไปเข้าร่วมช่วยทำงาน ขณะที่ในยุคของจอมพลป. ไม่เคยมีเกิดขึ้น คนชั้นกลางก็ไม่สนับสนุนเขาเลย”อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าว
ขณะที่ น.ส.ปองขวัญ กล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยหรือรัฐบาลทหาร ไม่เคยมีใครพัฒนาไปสร้างถนน พัฒนาอุตสาหกรรมเท่ากับจอมพลสฤษดิ์ ที่สามารถเปลี่ยนสังคมไทยจากเกษตรกรรมไปเป็นอุตสาหกรรม การขึ้นสู่อำนาจได้มีการสานสัมพันธ์ชัดเจนเป็นอย่างมากกับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาช่วยเหลือไทยเต็มที่แล้วเสนอให้ไทยเปลี่ยนบทบาทเปิดโอกาสให้มีนักลงทุนเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศ ถือเป็นประเทศเดียวในขณะนั้นที่สามารถเข้ามาลงทุนในไทยได้ 100 เปอร์เซ็น
ต้องถือว่าจอมพลสฤษดิ์ผูกขาดอำนาจทางการเมือง เพราะมีข้าราชการและทหารให้การสนับสนุนแล้วมีสหรัฐคอยให้การช่วยเหลือ เนื่องจากไม่ต้องการให้ไทยต้องตกไปอยู่ในระบอบคอมมูนิสต์ เนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นระหว่างที่เกิดสงครามเย็นกำลังเกิดภาวะคุกรุ่นของลัทธิคอมมูนิสต์ แต่หลายสิ่งที่เกิดขึ้นไทยได้รับมาจากสหรัฐอเมริการหลายเรื่องหลายอย่าง แต่วัฒนธรรมเดียวที่ไม่รับจากอเมริการมาเลยคือ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาวัฒนธรรมของเขาจะเชิดชูให้พลเมืองเป็นใหญ่กว่าทหาร หากผู้บังคับบัญชาสั่งในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทหารใต้บังคับบัญชาไม่อาจรับคำสั่งดังกล่าวได้เขาจะลาออกทันที แล้วรัฐธรรมนูญก็ต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แม้แต่ประธานาธิบดีก่อนเข้ารับตำแหน่งก็ต้องสาบานตนจะทำหน้าที่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ส่วนทหารของไทยในสภาวะเช่นนี้ตนไม่เข้าใจว่า เขาจะทำเช่นไร