ท่านขุนน้อย
ชักจะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาบ้างแล้ว...สำหรับกระแสคัดค้านการเปิดเขตเสรีการค้า (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับสหรัฐ...ไม่ว่าในแง่ ปริมาณ หรือจำนวนของผู้ที่เข้าร่วมแสดงการคัดค้าน ที่ยังไงๆ ก็น่าจะเกิน 300-400 คนตามการประเมินของ พี่บิ๊ก รัฐมนตรีมหาดไทยคาดการณ์เอาไว้แน่ๆ ยิ่งกว่านั้นในแง่ คุณภาพ ของผู้ที่เข้าร่วมชี้แจงแสดงเหตุผลของการคัดค้าน ตั้งแต่ระดับวุฒิสมาชิก, นักวิชาการ ตลอดจนไปถึงนักธุรกิจหลายอาชีพหลายสาขา ฯลฯ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการรวบรัดตัดสินใจแทนผู้คนทั้งประเทศยิ่งขึ้นทุกที...
**********
จะเป็นเพราะ สถานการณ์ขาลง ที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนอยู่ในขณะนี้ หรือจะเป็นเพราะผลแห่งความพังพินาศที่ปรากฏให้เห็นจากกรณีเอฟทีเอไทย-จีน, เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลียที่นับวันจะยิ่งแสดงอาการหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นทุกที...ก็แล้วแต่ แต่ดูเหมือนว่าคำพูดประเภท...ไม่ต้องห่วง...ขอให้เชื่อผม...ผมดูแลเอง หรือการออกมาอ้างถึง ความรักชาติ ของเจ้าหน้าที่ผู้ทำการเจรจา โดยมีนักการเมืองเป็นผู้กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันในแต่ละกรณี...มันคงไม่สามารถรับประกันอะไรได้อีกต่อไปแล้ว...
**********
เพราะตลอดเวลาที่แอบงุบงิบมุบมิบกันรักชาติมาโดยตลอดนี่แหละ...ที่มันก่อให้เกิดอาการบานทะโรคสำหรับผู้คนในระดับรากหญ้าหลากหลายอาชีพ มีสถิติ, มีกรณีตัวอย่างแสดงให้เห็นกันชัดเจน รวมทั้งก่อให้เกิดกรณีเปรียบเทียบกับผู้คนในอีกบางอาชีพ ที่เสวยสุขจากความรักชาติกันอย่างเต็มคราบฟันกำไรกันแต่ละปีนับเป็นหมื่นล้านแสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็น เสรีของผู้มีอำนาจ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกันเป็นหลัก ไม่ใช่เสรีที่จะนำมาซึ่งความมั่งคั่ง, ความสมบูรณ์พูนสุขของชาติทั้งชาติดังที่มีการกล่าวอ้างกันเอาไว้แม้แต่น้อย...
**********
หรือในขณะที่การเปิดเขตการค้าเสรีกับจีน ส่งผลให้ บรรษัทอุตสาหกรรมการเกษตร ประเภท ธนไก่การเมือง มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลประโยชน์ที่ได้รับการแลกเปลี่ยนกลับมา เกษตรกรพืช, ผัก, ผลไม้ในภาคเหนือนั้นถึงขั้นต้องเปลี่ยนอาชีพกลายสภาพเป็นกรรมกรให้เห็นอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่, เชียงรายชัดเจนกันไปแล้ว จำนวนหนี้สินครัวเรือนพุ่งพรวดๆ พราดๆ สูงเกินกว่าที่จะมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากโครงการขจัดความยากจนให้หมดประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่ต่างไปจากการเปิดเสรีกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในขณะที่เกษตรกรโคนม-โคเนื้อวอดวายกันไปเป็นแถบๆ กลุ่มธุรกิจยานยนต์กลับฟัดรายได้จากมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นไปถึง 75.7 เปอร์เซ็นต์ เรื่องราวของความรักชาติมันจึงเป็นเรื่องราวที่จะต้องแยกแยะลงไปในรายละเอียดว่าหมายถึง ชาติของใคร...??? ชาติของธุรกิจกลุ่มไหน...??? โดยเฉพาะชาติของกลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมนั่นแหละ...เหตุใดถึงได้มั่งคั่งกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฟันกำไรกันเป็นหมื่นล้านแสนล้านภายใต้บรรยากาศการค้าเสรีที่ยังไม่ยอมเปิดเสรีธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมกันจนเดี๋ยวนี้...???
**********
สิ่งที่รัฐบาลไม่เคยตอบ...และตอบไม่ได้ชัดเจนอยู่จนขณะนี้ก็คือว่า เหตุใดถึงต้องผูกขาดความรักชาติเอาไว้ในหมู่นักการเมืองและข้าราชการประจำที่ถูกบังคับกำกับให้เจรจาตามคำสั่งนโยบายของรัฐบาลกันเสมอๆ ทำไมถึงไม่ได้นำเอา ผลประโยชน์ของชาติ เข้ามาหารือกันให้เป็นกิจจะลักษณะในรัฐสภา ที่ถือกันว่าเป็นเวทีที่สะท้อนถึงตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มคนอันหลากหลายภายในชาติทั้งโดยนิตินัยและโดยพฤตินัย ทั้งๆ ที่ สภาฯ ที่ว่าก็ได้ชื่อว่าเป็น สภาตรายาง หรือ สภาทาส กันไปแล้วก็ตามความพยายามหลบเลี่ยงที่จะนำเอาสิ่งเหล่านี้มาผ่านกระบวนการดังกล่าวดังที่ประเทศอารยะอื่นๆ ได้กระทำเอาไว้ให้เห็น แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาก็ตามที...มันก็ยิ่งกลายเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง เสรีภาพของผู้มีอำนาจ ที่อยู่เหนือเสรีภาพของชาติและอยู่เหนืออธิปไตยของชาติอีกต่างหาก...???
**********
ในยุคอดีตนั้น...เหตุที่ การค้าเสรี ในยุคแรกสามารถทำให้ประเทศต่างๆ กลายสภาพไปเป็น อาณานิคมทางการค้า ของชาวตะวันตกได้แทบทั้งหมดหรือทั่วทั้งโลกนั้น ก็เนื่องมาจากเหตุที่ เสรี ทั้งหลายมันล้วนไม่ใช่ เสรีภาพของชาติ นั่นเอง แต่เป็นเสรีภาพของพ่อค้าที่ได้นำเอาอธิปไตยในชาติต่างๆ มาแปรสภาพให้กลายเป็นผลประโยชน์และกำไรของบริษัทธุรกิจทั้งหลาย จนกลายมาเป็น บรรษัทข้ามชาติ อยู่จนทุกวันนี้ บรรษัทธุรกิจที่มีผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลนับเป็นแสนๆ ล้านบาทนั้น...ท้ายที่สุดแล้วก็มักจะเป็นผู้ที่ ไม่มีชาติ เหลืออยู่ในพจนานุกรมของตัวเองกันเลยแม้แต่น้อย มันถึงทำให้เกิดการผลักดันให้โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ภายใต้การค้าเสรีกันอีกครั้ง โลกที่เป็นตลาด ประเทศที่เป็นแค่สถานีการค้า...ในขณะที่บรรดาพ่อค้าสามารถโยกย้ายเงินทุนกำไรจำนวนนับแสนๆ ล้านไปสู่ประเทศไหนก็ได้ หรือสามารถ กระโดดสิบล้อหนี ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อประเมินได้ว่าสถานการณ์ภายในประเทศนั้นๆ ชักจะ ไม่ปลอดภัย สำหรับตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว...???
**********
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก คาร์ไลล์...โดยทั่วไปแล้ว...การคำนึงถึงความพ่ายแพ้ที่จะเกิดขึ้นกับเรา ย่อมให้ประโยชน์มากกว่าการโอ้อวดถึงความสำเร็จที่เราจะได้รับ...